© 2017 Copyright - Haijai.com
หยุดคิดลบ เพิ่มพลังสมอง บู๊สต์ไอคิว
จากประสบการรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาครอบครัวและความสัมพันธ์มามากกว่าหมื่นรายทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา คุณหมอแดเนียลสรุปว่า ความคิดลบมี 9 แบบ ดังนี้
1.คิดด้วยความรู้สึก ปกติเราสามารถรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นได้ แต่ถ้าเอาแต่รับรู้ความรู้สึกลบๆ แล้วนำมาขยายต่อ เช่น “ฉันรู้สึกว่าเขาไม่ชอบฉัน” ซึ่งบางทีก็ไม่จริง เพราะความรู้สึกมักหลอกเรา เมื่อเรารู้สึกเหนื่อย หิว กังวลกับอะไรบางอย่าง หรือกำลังอยู่ในภาวะเครียด สมองจะหลั่งสารเคมีบางอย่างออกมา
SOLUTION อย่าให้ความรู้สึกในทางลบแบบนี้กำหนดความคิดของเรา ถ้าเกิดขึ้นให้เขียนลงสมุด และหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงคิดเช่นนี้
2.รู้สึกผิด เมื่อเรานึกถึงเรื่องราวบางอย่างแล้วคิดว่า มันน่าจะ ควรจะ หรือจะต้อง เรากำลังเริ่มกระบวนการโยนความผิดในตนเองแล้ว โดยเฉพาะคนที่ชอบยกความต้องการของคนอื่นขึ้นมาก่อนความต้องการของตนเอง เมื่อต้องทำเพื่อตนเองบ้างก็จะรู้สึกผิด ความจริงเราควรทำเพื่อคนอื่นบ้างจึงถูกต้อง แต่อย่ารู้สึกไม่ดีเมื่อต้องทำเพื่อตนเอง
SOLUTION ลองชั่งใจว่า ควรทำอะไรให้ใครก่อนหรือหลังสิ่งที่ตนเองต้องการ โดยพยายามทำใจให้สบายก่อนตัดสินใจ
3.คาดเดาอนาคตเอง เมื่อเราคาดเดาอนาคต ปกติมักจะเป็นไปในทางลบเสมอ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้น หัวใจจะเต้นแรง ลมหายใจจะสั้นและตื้น ต่อมอะดรีนัลจะหลั่งอะดรีนาลิน และคอร์ติซอลออกมาระดับความเครียดจะพุ่งสูงขึ้น ในที่สุดก็มักจะลงเอยด้วยเรื่องลบอย่างที่คาดเดาไว้
SOLUTION ปกติถ้าเราคิดว่างานจะไม่สำเร็จ เรามักจะมีความกังวลหรืออารมณ์ไม่ดี ฉะนั้นเมื่อลงมือทำงาน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั่นแหละคืออุปสรรค์ขัดขวางความสำเร็จ
4.อ่านใจคนอื่น แม้เขาไม่พูดออกมา แต่เราก็เชื่อว่า เรารู้ว่าเขาคิดอะไร เช่น ทำหน้าแบบนี้แปลว่าไม่ชอบเราแหง ซึ่งนั่นอาจจะมาจากสาเหตุอื่น เช่น มีปัญหาเรื่องงานมา
SOLUTION ฉะนั้นจงอย่าให้การอ่านใจคนในทางลบเป็นตัวกำหนดสถานการณ์ แม้ว่าการอ่านใจคนอื่นได้เป็นเรื่องดี แต่ต้องระมัดระวัง
5.ลากสถานการณ์วนมาเข้าตัว หลายคนโดยเฉพาะผู้หญิงมักคิดว่า หากสามีกลับบ้านผิดเวลาหรือไม่โทร.หา หมายความว่า เขาลดความรักที่มีต่อเราลงแล้ว ทั้งที่ความจริงสาเหตุของเรื่องดังกล่าวอาจไม่เกี่ยวกับเราเลยก็ได้ คุณหมอแดเนียลเล่าเรื่องผู้ป่วยคนหนึ่งที่กล่าวว่า การสอบตกของลูกสาววัยอุดมศึกษาเป็นความผิดของตน เพราะไม่มีเวลามากพอในการติวให้ลูก ทั้งที่ความจริงการสอบได้หรือสอบตกในเด็กวัยนี้ล้วนเป็นความรับผิดชอบของตัวเด็กเอง
6.คิดว่าสิ่งนี้มักเกิดขึ้นเสมอ เมื่อไรก็ตามที่เราคิดรวบยอดเบ็ดเสร็จว่า “บ่อยไป” “ไม่มีทาง” “ไม่มีใคร” “ทุกคนนั่นแหละ” “ตลอดเวลาเลย” เช่น เขาไม่เคย ฟังฉันเลย ทุกคนมีทางไปยกเว้นฉัน เท่ากับว่าจิตใจของเรากำลังขังเราไว้กับความรู้สึกลบ ซึ่งจะทำให้เรายิ่งรู้สึกแย่
7.จดจ่ออยู่แต่เรื่องร้าย ปกติผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตมักจะรู้ว่า มีโอกาสเกิดทั้งเรื่องดีและร้ายในเวลาเดียวกัน แต่การจดจ่ออยู่แต่เรื่องร้าย เช่น กลัวว่าทำเช่นนี้แล้วจะมีอะไรร้ายๆ แบบนี้เกิดขึ้น นั่นจะทำให้เรายิ่งรู้สึกแย่
SOLUTION คนเราควรคิดถึงผลลัพธ์ที่ดีที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย สมองปลอดโปร่ง ซึ่งจะช่วยให้เราตัดสินใจหรือแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอย่างมีสติและปัญญา หรือหากต้องหาคนช่วยสมองที่ปลอดโปร่งก็จะช่วยให้เราเลือกคนที่ถูกต้องมาร่วมงานด้วย
8.การตราหน้า การนิยามตนเอง คนอื่น หรือสถานการณ์ในทางร้าย เช่น เขาโง่ ฉันปัญญาอ่อน นโยบายเฮงซวย ไม่ทำให้สมองคิดวิเคราะห์คนหรือสถานการณ์ตามความเป็นจริง จึงอาจทำให้ผลลัพธ์ออกมาผิดพลาดได้
9.โทษคนอื่น การกล่าวโทษคนอื่นหรือสถานการณ์ที่นำพาผลร้ายหรือความไม่สำเร็จ ในหน้าที่การงานมาสู่ตนเองนั้น เป็นความคิดลบที่อันตรายที่สุดในบรรดาความคิดลบทั้งหมด เพราะวิธีคิดนี้จะปิดบังไม่ให้เราเห็นข้อผิดพลาดของตนที่จะนำไปสู่การปรับปรุงพัฒนาตนเอง
SOLUTION เมื่อสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ให้มองหาทางแก้ปัญหาหรือสิ่งที่ตนเองสามารถทำได้ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
(Some images used under license from Shutterstock.com.)