Haijai.com


โรคลำไส้ขาดเลือดในผู้สูงอายุ


 
เปิดอ่าน 8746

โรคลำไส้ขาดเลือดในผู้สูงอายุ

 

 

ลำไส้ขาดเลือด

 

คนราอาจจะปวดท้องได้จากหลายสาเหตุ บางคนปวดจากโรคแผลในกระเพาะอาหาร นิ่วในถุงน้ำดี ตับอ่อนอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ โรคต่างๆ เหล่านี้เป็นโรคที่พบบ่อย วินิจฉัยได้ง่ายจึงไม่ค่อยมีปัญหา แต่บางคนปวดท้องแบบหาสาเหตุไม่ได้ง่ายๆ ใช้กล้องส่องกระเพาะอาหารแล้วก็ไม่พบแผล ใช้อัลตราซาวนด์ตรวจแล้วก็ไม่พบนิ่วหรือสาเหตุอื่น ตับอ่อนอักเสบก็ไม่ใช่ไส้ติ่งอักเสบก็ห่างไกล ปวดท้องเป็นๆ หายๆ จนน้ำหนักลดเนื่องจากกลัวการกินอาหาร เพราะมันทำให้มีอาการปวดท้องจาก “ลำไส้ขาดเลือด”

 

 

ผู้อ่านส่วนใหญ่คงจะคุ้นเคยกับโรคหัวใจขาดเลือด เพราะเคยได้อ่าน ได้ยิน ได้พบผ่านมามากกว่า แต่จริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะอะไรก็เป็นโรคขาดเลือดได้ทั้งนั้น เช่น สมองขาดเลือดเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ ไตขาดเลือดจนไตวาย ลำไส้ขาดเลือดจนปวดท้อง และขาขาดเลือดเวลาเดินแล้วปวดน่อง

 

 

ไขมัน ตัวการสำคัญทำลำไส้ขาดเลือด

 

ลำไส้ของคนเราได้รับเลือดมาเลี้ยงเหมือนอวัยวะอื่น เวลาหลังอาหารลำไส้ทำงานมากกว่าปกติ ต้องใช้เลือดมาเลี้ยงมากกว่าปกติ เพื่อทำหน้าที่ย่อยและดูดซึมอาหาร แต่ถ้าเลือดไหลมาเลี้ยงไม่เพียงพอก็จะทำให้ปวดท้องเช่นเดียวกับการเจ็บหน้าอกในกรณีหัวใจขาดเลือด การที่เลือดมาเลี้ยงลำไส้ไม่เพียงพอเกิดจากการที่หลอดเลือดแดงมันตีบตันจากไขมัน (คอเลสเตอรอล) ไปพอกพูนใต้เยื่อบุหลอดเลือดแดง ทำให้มันแข็งตับตีบลงๆ เมื่อมันตีบลงถึงจุดหนึ่ง จะทำให้เกิดอาการขาดเลือดหลังอาหาร การขาดเลือดนี้จะยิ่งเป็นมากขึ้นถ้ามีปัจจัยมาเสริม เช่น เกิดมีลิ่มเลือดมาอุดตรงที่ตีบ จากโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจวาย โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ บางกรณีคนไข้อาจจะปวดท้องไม่รุนแรง ค่อยเป็นค่อยไป แต่ในบางกรณีอาจเกิดอาการปวดท้องรุนแรงเนื่องจากเลือดถูกปิดกั้นตัดขาด เช่น เกิดมีลิ่มเลือดมาอุดตรงบริเวณที่ตีบ กรณีรุนแรงนี้จะกลายเป็นเรื่องฉุกเฉินขึ้นมาทันที

 

 

สูงวัย กลุ่มเสี่ยง

 

คนที่เป็นโรคนี้ส่วนมากมักจะเป็นคนสูงอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป มักจะไม่เป็นกับคนหนุ่มคนสาว นอกจากเรื่องความแก่ ปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นก็คือ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ระดับไขมัน (คอเลสเตอรอล) ในเลือดสูง การสูบบุหรี่ ความอ้วน ทำงานนั่งโต๊ะ ขาดการออกกำลังกายที่เพียงพอ และถ้าเคยมีโรคขาดเลือดของอวัยวะอื่น เช่น หัวใจ สมอง และขาอยู่ด้วยก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น

 

 

กลัวการกิน อาการสำคัญ

 

คนที่เป็นโรคนี้มีอาการสำคัญอยู่อย่างหนึ่งคือ “กลัวการกิน” ในคนที่มีอาการขาดเลือดแบบค่อยเป็นค่อยไป อาการปวดท้องมักเกิดขึ้นหลังอาหารมื้อใหญ่ประมาณ 15-30 นาที คือ ตอนที่ลำไส้เริ่มทำงานย่อยอาหาร อาการปวดมักจะเป็นแบบตื้อๆ ปวดไม่ชัด มักจะอยู่แถวๆ กลางท้องหรือที่ท้องส่วนบน แต่อาจจะเกิดส่วนไหนของท้องก็ได้แล้วแต่ว่าส่วนไหนขาดเลือด คนไข้อาจจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ ท้องอืด ท้องเดิน เมื่อมีอาการมากเข้าก็จะเกิดความกลัวการกินอาหาร ทำให้น้ำหนักตัวลดลง

 

 

วินิจฉัย ต้องตรวจมากกว่าธรรมดา

 

ถ้าหมอสงสัยโรคนี้ เนื่องจากตรวจร่างกายธรรมดาไม่สามารถบอกได้ หมอก็ต้องใช้วิธีตรวจอย่างอื่นช่วย เช่น ส่องกล้องแยกโรคในกระเพาะอาหาร ทำอัลตราซาวนด์แยกโรคนิ่วในถุงน้ำดี เอกซเรย์คอมพิวเตอร์แยกโรคตับ ตับอ่อน ไต และม้าม เมื่อตรวจอย่างว่านั้นเสร็จแล้วไม่พบสาเหตุ ก็จำเป็นต้องใช้อัลตราซาวนด์ชนิดพิเศษตรวจหลอดเลือดลำไส้ แต่วิธีที่เห็นหลอดเลือดลำไส้ที่แน่นอนชัดเจนที่สุด คือ การเอกซเรย์หลอดเลือดลำไส้ โดยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือด หรือการใส่สายสวนเข้าหลอดเลือดลำไส้แล้วฉีดสารทึบรังสี เหมือนการสวนหัวใจในการตรวจคนไข้หัวใจขาดเลือด

 

 

การรักษามี 2 แบบ

 

เมื่อวินิจฉัยได้แน่ชัดแล้ว การรักษาโรคนี้ทำได้ 2 แบบ คือ แบบผ่าตัด กับ แบบไม่ผ่าตัด ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของโรค การรักษาแบบผ่าตัด ผ่าลงไปทำการเลาะตะกรันไขมัน (plaque) ที่พอกหลอดเลือดออก ทำให้ช่องทางไหลของเลือดหายตีบ หรืออีกแบบหนึ่งคือ ผ่าตัดลงไปทำบายพาส คือ เอาหลอดเลือดเทียมหรือหลอดเลือดดำจากส่วนขามาต่อให้เลือดไหลอ้อมตรงที่ตีบไปเลี้ยงลำไส้ วิธีไม่ผ่าตัดใช้ได้ในบางกรณี คือ ใช้วิธีการสวนหลอดเลือดแดงลำไส้แล้วใช้บอลลูน (ลูกโป่ง) ขยายส่วนตีบ บอลลูนจะไปดันให้ตะกรันไขมัน (plague) ให้ยุบตัวติดผนังหลอดเลือดแดงเสร็จแล้วเอาหลอดตาข่ายที่เขาเรียกว่าสเต๊นท์ (stent) สอดใส่ค้ำผนังคลอดเลือดและตะกรันที่ถูกขยายไว้ ไม่ให้มันยุบตีบกลับเข้ามาใหม่ เช่นเดียวกับการทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจที่ท่านผู้อ่านหลายคนคงจะเคยได้ยินได้อ่าน หรือได้ถูกทำมาบ้างแล้ว

 

 

โรคนี้ควรรักษาเสียแต่เนิ่นๆ เมื่อมันยังไม่เป็นมากไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะการขาดเลือดที่เป็นไม่มากจากการตีบของหลอดเลือด อาจจะเกิดเป็นมากขึ้นมาอย่างเฉียบพลันเมื่อไหร่ก็ได้ เช่น เมื่อหัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจที่อาจจะหลุดไปอุดตรงบริเวณที่ตีบ ทำให้เกิดการปิดกั้นหลอดเลือดลำไส้อย่างสมบูรณ์ เป็นผลให้ลำไส้ขาดเลือดอย่างรุนแรง ทำให้มันตาย ในบางรายลำไส้ตายมากต้องผ่าตัดทิ้งไปมาก เหลือลำไส้ที่ปกติไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต คือ ดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายได้น้อยเกินไป ทำให้ขาดอาหารมากขึ้นๆ จนอยู่ไม่ได้อีกต่อไป

 

 

โรคลำไส้ขาดเลือดถึงแม้ว่าเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ก็เกิดขึ้นได้ ถ้าคุณปวดท้องหลังอาหารโดยหาสาเหตุไม่พบ ต้องคิดถึงโรคนี้ไว้บ้าง โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นผู้สูงอายุ และยิ่งต้องคิดถึงโรคนี้มากขึ้น เมื่อปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย และถ้าเป็นไปได้ควรจะลด ละ เลิก ปัจจัยเสี่ยง เช่น งดสูบบุหรี่ ลดการกินไขมัน ลดน้ำหนัก และใส่ใจในการรักษาโรคเบาหวานตามที่แพทย์แนะนำ

 

 

นพ.นริศ เจนวิริยะ

ศัลยแพทย์

(Some images used under license from Shutterstock.com.)