Haijai.com


ปัญหาเรื่องสิว


 
เปิดอ่าน 8457

ปัญหาสิว

 

 

สิว แม้ว่าจะไม่ได้เป็นโรคที่รุนแรง แต่ก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจไปไม่ใช่น้อย สาเหตุเกิดจากากรอุดตันของรูขุมขนและต่อมไขมันจนเกิดการอักเสบขึ้น อาจพบร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย พี.แอคเน่ (Propionibacterium acnes, P. acnes) สิวมักพบมากในบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่กันอย่างหนาแน่น เช่น บริเวณใบหน้า แผ่นหลัง และหน้าอก

 

 

โดยทั่วไป “สิว” แบ่งคร่าวๆ ได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ สิวที่มีการอักเสเช่น สิวที่เป็นตุ่มแดง สิวตุ่มหนอง สิวหัวช้าง (สิวอักเสบขนาดใหญ่) สิวที่มีลักษณะเป็นถุงซีสต์ใต้ผิวหนัง และ สิวที่ไม่มีการอักเสบ เช่น สิวหัวเปิด (จะพบจุดสีดำอยู่ตรงกลาง) สิวหัวปิด (พบเป็นตุ่มนูน สีเดียวกับผิวหนัง)

 

 

ตัวการก่อปัญหาสิว

 

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวมีด้วยกันหลายประการ อาทิกรรมพันธุ์ ระดับของฮอร์โมน โรคประจำตัว เช่น ในผู้หญิงที่มีถุงน้ำรังไข่หลายใบจะมีการหลั่งฮอร์โมนเพศชายมากกว่าปกติ ทำให้เกิดสิว หน้ามัน และขนดกได้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างที่เป็นตัวการให้เกิดสิวได้เช่นกัน ได้แก่

 

เครื่องสำอาง ส่วนประกอบของเครื่องสำอางบางชนิดอาจทำให้รูขุมขนอุดตัน และเกิดสิวอุดตันได้

 

อาหาร ถึงแม้จะยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจน แต่มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าอาหารบางชนิด เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม แป้ง และขนมหวานต่างๆ กระตุ้นให้เกิดสิวเพิ่มมากขึ้นได้ ทางที่ดีผู้อ่านควรหลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มนี้ดีกว่า

 

สเตียรอยด์ มักเป็นส่วนผสมในครีมโฆษณาว่าทำให้หน้าขาวใส หน้าเด้ง ในช่วงแรกที่ใช้หน้าจะขาวใส สิวจะยุบจริง แต่ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดสิวหรือผื่นผิวหนังอักเสบขึ้นมาได้ ซึ่งการรักษาค่อนข้างยากและใช้เวลานาน จึงควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง

 

 

แก้ปัญหารักษาสิว

 

1.การใช้ยาทา

 

กรดวิตามินเอชนิดทา จะใช้กับสิวอุดตัน โดยยาจะไปลดการอุดตันของสิว และทำให้การผลัดเซลล์ผิวกลับมาเป็นปกติ ในช่วงแรกที่ใช้อาจเกิดสิวเห่อขึ้นมาได้ ไม่ต้องตกใจนะคะ ให้ใช้ยาต่อเนื่องต่อไป กว่าตัวยาจะออกฤทธิ์อาจใช้เวลาประมาณ 3-6 สัปดาห์ โดยทาวันละครั้งก่อนนอน ผลข้างเคียง คือ อาจทำให้ผิวแห้ง แสบ ระคายเคือง ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

 

เบนซอยล์ เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) ทำให้หัวสิวหลุดออกได้เร็วขึ้น และมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย วิธีใช้ให้ทายาบริเวณที่เป็นสิวทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออก ผลข้างเคียง คือ อาจทำให้หน้าแดง ลอกเป็นขุย หรือมีอาการคันยิบๆ ที่ใบหน้า

 

 

2.การใช้ยากิน

 

ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาดอกซีไซคลิน Doxycycline) ให้กินตามระยะเวลาที่แพทย์สั่ง ห้ามกินติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน และห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร อาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้อาเจียน ผิวหนังไวต่อแสงแดดมากขึ้น

 

ยาไอโซเตรทติโนอิน (Isotretinoin) เป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ เป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ใช้ในการรักษาสิวที่มีอาการรุนแรง ต้องใช้ต่อเนื่องนานประมาณ 6 เดือน อาการข้างเคียง คือ ทำให้ผิวแห้ง ตาแห้ง ปากแห้ง คอแห้ง ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร

 

 

3.การรักษาเสริมอื่นๆ

 

การกดสิว เป็นการรักษาสิวอุดตันทำให้หัวสิวหลุดออก ควรใช้คู่กับยากรดวิตามินเอชนิดทา หรือยาที่ออกฤทธิ์ละลายหัวสิว ไม่ควรกดสิวขณะที่เป็นสิวอักเสบ

 

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น เอเอชเอ กรดซาลิไซลิก

 

การฉีดสิวด้วยยาสเตียรอยด์ จะช่วยให้สิวอักเสบยุบลงได้อย่างรวดเร็ว ผลข้างเคียง คือ หากฉีดลึกเกินไปอาจทำให้ผิวหนังยุบตัวลงได้

 

การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ และ IPL (Intense pulsed light) เป็นการรักษาที่ช่วยเสริมกับการรักษาสิว แต่ข้อเสียคือมีราคาที่ค่อนข้างสูงอยู่

 

 

นอกจากวิธีการรักษาตามที่กล่าวมาแล้ว การปรับพฤติกรรมบางอย่างก็เป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันปัญหาสิว เช่น หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว เพราะนอกจากสิวจะไม่หายแล้ว ยังทิ้งรอยแผลไว้บนหน้าของเราให้ช้ำใจอีกด้วย

 

 

นอกจากนี้การสัมผัสใบหน้า ล้างหน้าบ่อยๆ หรือแม้กระทั่งการขัดหน้า นวดหน้า ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวเพิ่มมากขึ้นได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ควรปล่อยใจให้สบาย ไม่เครียดไปกับสิว ปรับสมดุลชีวิต นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ก็จะทำให้สิวที่เรากังวลกลายเป็นเรื่องสิว สิว ไปเลยค่ะ

 

 

พญ.พลอย ลักณะวิสิฏฐ์

แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป

(Some images used under license from Shutterstock.com.)