
© 2017 Copyright - Haijai.com
แพ้ยา
การแพ้ยาเป็นการตอบสนองที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อยา ยาสมุนไพร หรือสารแคมีที่ร่างกายได้รับ โดยร่างกายจะรับรู้ว่ายาหรือสารเคมีนั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำอันตรายต่อร่างกาย คล้ายกับเชื้อโรค จึงก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านและการอักเสบขึ้น ทำให้เกิดอาการและอาการแสดงต่างๆ มากมาย เช่น ผื่นขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย มีไข้ เป็นต้น โดยอาจมีอาการรุนแรงได้มากถึงขั้นเกิดภาวะแพ้ยาชนิดรุนแรง (Anaphylaxis) จนเกิดอาการช็อค ซึ่งถือเป็นภาวะเร่งด่วนและอันตรายถึงชีวิต
อาการแพ้ยา
อาการแพ้ยามักเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังได้รับยา มีจำนวนน้อยที่อาการจะเกิดขึ้นหลังจากได้รับยาไปแล้วหลายชั่วโมง หรือเป็นวัน เป็นสัปดาห์ ตัวอย่างลักษณะอาการแพ้ยาที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น เกิดผื่นที่ผิวหนังลักษณะคล้ายลมพิษ มีอาการคัน มีไข้ บวมตามเยื่อบุผิวต่างๆ หรือแขนขา หายใจหอบ หายใจมีเสียงหวีด มีอาการน้ำมูกหรือน้ำตาไหล เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมี “ภาวะแพ้ยาชนิดรุนแรง” เป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต เพราะเป็นการแพ้ยาที่ทำให้เกิดความผิดปกติอย่างรุนแรงของระบบต่างๆ ของร่างกาย อาการต้องสงสัยว่าเป็นการแพ้ชนิดรุนแรง คือ หายใจติดขัดแน่นหน้าอกหรือลำคอ คลื่นไส้อาเจียน หรือปวดท้อง ท้องเสีย เวียนศีรษะ ชีพจรเต้นเบาและเร็วผิดปกติ ความดันโลหิตลดลง ชักเกร็ง หรือหมดสติ เป็นต้น ดังนั้นหลังจากได้รับยาแล้ว หากพบว่ามีอาการตามที่กล่าวมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการของภาวะแพ้ยาชนิดรุนแรง ให้รีบมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยด่วนนะครับ
ความเสี่ยงต่อการแพ้ยา
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ยา ได้แก่ มีประวัติโรคภูมิแพ้อื่นๆ เช่น แพ้อาหารหรือสารเคมีบางชนิด มีประวัติการแพ้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งในอดีต คนในครอบครัวมีประวัติแพ้ยา หรือมีประวัติการเพิ่มขนาดยาที่ใช้หรือเพิ่มระยะเวลาในการใช้ยายาวนานขึ้น
พบแพทย์เมื่อแพ้ยา
การเตรียมรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้ยาต่างๆ ดังต่อไปนี้ จะช่วยให้วินิจฉัยการแพ้ยาเป็นไปได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งจะนำมาด้วยการรักษาที่ถูกต้องต่อไปครับ
• อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้เป็นมานานเท่าใด (ควรให้คำตอบที่จำเพาะมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้)
• ช่วงที่ผ่านมามีการใช้ยาชนิดใหม่หรือไม่ และเริ่มใช้เมื่อใด หรือมีการหยุดยาตัวใหม่ที่ใช่หรือไม่
• ใช้ยาหรือสารเคมีอื่นใดร่วมกับยาที่ใช้เป็นประจำหรือไม่
• ใช้ยาสมุนไพร ยาบำรุง วิตามิน หรือเกลือแร่ อาหารเสริมชนิดใดหรือไม่ และรับประทานยาหรือสารเคมีดังกล่าวในเวลาใดของวัน
• มีการปรับเพิ่มขนาดยาหรือจำนวนครั้งของการใช้ยาเองหรือไม่
• เคยรับประทานยาชนิดนี้มาก่อนหรือไม่ และเกิดอาการผิดปกติใดบ้างหรือไม่
• คนในครอบครัวมีประวัติแพ้ยาหรือไม่
• ควรนำยาที่สงสัย หรือถ่ายรูปความผิดปกติตั้งแต่แรกๆ เช่น ลักษณะผื่นที่เกิด ให้แพทย์ที่ทำการรักษาดูด้วย เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค
อย่างไรก็ตามควรมีความเข้าใจว่า การเกิดผลข้างเคียงจากยานั้นไม่ใช่การแพ้ยาเสมอไปนะครับ โดยส่วนใหญ่แล้วผลข้างเคียงของยามักมีการเขียนบรรยายไว้อย่างละเอียดในฉลากยาอยู่แล้ว ฉะนั้นหากไม่แน่ใจว่าเป็นการแพ้ยาจริงหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรจะดีที่สุดครับ
ตัวอย่างยาที่พบว่าอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย
• ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาเพนนิซิลิน
• ยาแอสไพรินและยาต้านการอักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์ (NSAIDs)
• ยาเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็ง
• ยาสำหรับโรคภูมิคุ้มกันไวกว่าปกติ เช่น โรคไข้ข้ออักเสบ
• ครีมหรือโลชั่นที่มีสารสเตียรอยด์
• ยาต้านไวรัสเอชไอวีหรือโรคเอดส์
นพ.ชวโรจน์ เกียรติกำพล
อายุรแพทย์
(Some images used under license from Shutterstock.com.)