© 2017 Copyright - Haijai.com
ป้องกันความพิการด้วยโฟเลต
ความพิการแต่กำเนิดเกิดจาก 2 สาเหตุ ได้แก่
1.สิ่งแวดล้อมในครรภ์ เช่น แม่ดื่มเหล้า ติดยาเสพติด สูบบุหรี่ ใช้ยาบางอย่างที่ทำให้ทารกในครรภ์ผิดปกติ สัมผัสกับสารพิษ เป็นต้น
2.ความผิดปกติทางพันธุกรรม ถือว่าเป็นสาเหตุสำคัญ แต่ความพิการทางพันธุกรรมนี้ ไม่ได้แสดงออกในพ่อแม่ แต่ “ซ่อน” อยู่ภายในยีนของพ่อแม่ เมื่อสบโอกาสจึงแสดงออกในลูก
ความพิการแต่กำเนิดครอบคลุมถึงความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ทั้งภายนอกและภายใน เมื่อมองดูด้วยสายตา เราอาจคิดว่าแทบไม่พบทารกที่พิการแต่กำเนิด แต่ที่จริงแล้ว จำนวนทารกที่มีความพิการแต่กำเนิด ซึ่งส่งผลต่อการดำรงชีวิตมีมากถึงร้อยละ 3 ซึ่งนับเป็นปัญหาสำคัญตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับประเทศ เพราะการมีลูกพิการหนึ่งคน ก็ทำให้ทั้งครอบครัวพิการไปด้วย
เนื่องจากพ่อแม่ต้องทุ่มเททั้งแรงกายใจในการดูแลลูกพิการ เสียโอกาสในการหารายได้ เสียค่าใช้จ่ายในการรักษา อีกทั้งจิตใจยังเต็มไปด้วยความทุกข์ ในระดับประเทศ สังคม ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการดูแลรักษาเด็กกลุ่มนี้
นอกจากนี้ความพิการแต่กำเนิดในหลายกรณีต้องใช้เวลารักษานาน หรือมีผลตลอดชีวิตของเด็ก เช่น เด็กปากแหว่งเพดานโหว่ ต้องเข้ารับการผ่าตัดรักษาหลายครั้ง บางรายรักษาตั้งแต่แรกคลอดจนถึงอายุ 20 ปีก็มี และความพิการแต่กำเนิดยังก่อให้เกิดปมด้อยแก่เด็กได้อีกด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะพิจารณาในด้านใดก็ตาม การป้องกันความพิการแต่กำเนิดจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด
โพเลตป้องกันความพิการแต่กำเนิด
ผลการศึกษาวิจัยมากมายพบว่า การเสริมกรดโฟลิกแก่ผู้หญิงก่อนตั้งครรภ์ ช่วยลดอัตราการเกิดความพิการในเด็กได้ถึงร้อยละ 25-50 โดยความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจแต่กำเนิดลดลง 1 ใน 3 ความพิการของมือเท้าลดลงร้อยละ 50 อาการปากแหว่งเพดานโหว่ลดลง 1 ใน 3 และความพิการของไขสันหลังลดลงร้อยละ 70
อย่างไรก็ตามการเสริมกรดโฟลิกจะได้ผลต้องเสริมตั้งแต่ 6 สัปดาห์ก่อนการตั้งครรภ์ โดยแนวทางในการใช้กรดโฟลิกเพื่อป้องกันความพิการแต่กำเนิดนั้น ว่าที่คุณแม่ต้องได้รับกรดโฟลิกวันละ 400 ไมโครกรัม (0.4 มิลลิกรัม) ขึ้นไป ในเมืองไทยยาเม็ดกรดโฟลิกที่มีจำหน่ายในท้องตลาด มีขนาด 5 มิลลิกรัม ราคาไม่แพง และสามารถนำมาใช้ได้โดยไม่เกิดอันตราย เนื่องจากกรดโฟลิกเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายสามารถขับออกได้ทางปัสสาวะ
โอกาสที่จะสะสมในร่างกายจนเกิดความเป็นพิษ จึงมีน้อยมาก แต่ปัญหาที่พบคือ ประชาชนยังขาดความรู้เรื่องการเสริมโฟเลตก่อนตั้งครรภ์ ทั้งยังไม่ได้วางแผนก่อนการตั้งครรภ์อีกด้วย ซึ่งการมาเสริมโฟเลตหลังจากตั้งครรภ์ไปแล้วอาจสายเกินไป
เมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว องค์การอนามัยโลกได้เสนอแนวทางปฏิบัติในการลดความพิการแต่กำเนิด โดยแนะนำให้รับประทานกรดโฟลิกทุกวันในหญิงวัยเจริญพันธุ์ หรือกระทั่งผสมในอาหารเช่นที่ทำในสหรัฐอเมริกา โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกกฎหมายบังคับให้มีการเสริมกรดโฟลิกในผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อป้องกันความพิการแต่กำเนิดมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว
และพบว่าจำนวนทารกที่พิการแต่กำเนิดลดลงอย่างเห็นได้ชัด นับเป็นนโยบายด้านสาธารณสุขที่เห็นผลชัดเจนที่สุดของสหรัฐฯ และน่าจะเป็นแนวทางให้หลายๆ ประเทศได้นำไปปรับใช้
การเสริมกรดโฟลิกจะได้ผลต้องเสริมตั้งแต่ 6 สัปดาห์ก่อนการตั้งครรภ์
ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะมีลูกพิการแต่กำเนิด ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องในระยะยาว ทั้งต่อตัวเด็ก ครอบครัว และสังคม จึงควร “ป้องกัน” อย่าประมาท รวมทั้งช่วยกันส่งต่อความรู้เรื่อง “การใช้โฟเลตเพื่อป้องกันความพิการแต่กำเนิด” ให้กับคนรอบข้างด้วย
เชื่อเถอะว่าทุกๆ การบอกต่อของเรา มีส่วนช่วยลดความพิการให้กับเด็กๆ ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการวางแนวทางป้องกัน ความพิการแต่กำเนิดของเด็กไทย หากภาครัฐส่งเสริมภาคประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติตามย่อมเกิดผลดีมหาศาลต่อประเทศชาติอย่างแน่นอน
นพ.พิชิต ศิริวรรณ
รองผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์ และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย
(Some images used under license from Shutterstock.com.)