
© 2017 Copyright - Haijai.com
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์
การเลือกใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ นอกเหนือไปจากประสิทธิภาพของยาที่ใช้ในการรักษาแล้ว ความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ควรคำนึงไม่ด้อยไปกว่ากัน เนื่องจากยาบางชนิดหลังจากได้รับเข้าสู่ร่างกายของผู้เป็นแม่แล้ว สามารถเดินทางผ่านรกไปสู่ทารกในครรภ์ได้ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก หรือ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกมีการพัฒนารูปร่าง และสร้างอวัยวะต่างๆ การได้รับยาที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลต่อการพัฒนาของทารก รวมถึงอาจทำให้ทารกเกิดความพิการทางรูปร่างได้ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ยาทุกชนิดที่ห้ามใช้ในผู้ที่ตั้งครรภ์
ข้อควรปฏิบัติหากต้องรับประทานยาในระหว่างตั้งครรภ์
ในช่วงเวลาของการตั้งครรภ์ 9 เดือน การหลีกเลี่ยงอาการเจ็บป่วยหรือไม่สบายตัวอาจทำได้ยาก บางอาการอาจจะแก้ไขได้โดยไม่จำเป็นต้องรับประทานยา แค่เพียงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน ก็สามารถที่จะช่วยแก้ไขหรือบรรเทาอาการลงได้
แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องรับประทานยา เพื่อช่วยรักษาอาการ ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล หรือเลือกซื้อยาจากร้านยาที่มีเภสัชกรเป็นผู้จ่ายยา โดยต้องแจ้งทุกครั้งว่า “ท่านกำลังตั้งครรภ์อยู่” เพื่อที่แพทย์และเภสัชกรจะได้พิจารณาเลือกจ่ายยาที่มีความปลอดภัยให้ ไม่ควรหยิบยาที่มีอยู่ในบ้านมารับประทานเอง แม้ว่ายานั้นจะเป็นยาเดิมที่เคยรับประทานก่อนตั้งครรภ์ เนื่องจากยานั้นอาจจะไม่ปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์ได้ ตัวอย่างเช่น ยาแก้ปวดศีรษะไมเกรน เป็นต้น
จะทราบได้อย่างไรว่ายาใดปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์
ยาทุกชนิดก่อนผ่านการอนุมัติให้ใช้ในการรักษาได้ จะต้องมีการศึกษาทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาที่ใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ ทั้งนี้กำหนดระดับความปลอดภัยของยาที่ใช้ในระหว่างตั้งครรภ์เป็น 5 กลุ่ม (category) ด้วยกัน และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนดให้ระบุระดับความปลอดภัยนี้ไว้ในเอกสารกำกับยาด้วย
• Category A ยาที่อยู่ในกลุ่มนี้มีการศึกษาในมนุษย์แล้ว ไม่พบความเสี่ยงของการเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ ระหว่างช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ หรือมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ จัดเป็นกลุ่มยาที่มีความปลอดภัยมากที่สุด
• Category B ยาที่อยู่ในกลุ่มนี้มีการศึกษาในสัตว์ทดลองแล้ว ไม่พบความเสี่ยงของการเกิดอันตรายต่อตัวอ่อนของสัตว์ทดลอง แต่ยังไม่มีการศึกษาทดลองในมนุษย์ หรือมีการศึกษาที่พบความเสี่ยงของการเกิดอันตรายต่อตัวอ่อนของสัตว์ทดลอง แต่ไม่สามารถยืนยันผลในหญิงตั้งครรภ์ จัดเป็นกลุ่มยาที่มีความปลอดภัยรองลงมา
• Category C ยาที่อยู่ในกลุ่มนี้มีการศึกษาในสัตว์ทดลองแล้ว พบความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับตัวอ่อน แต่ไม่มีการศึกษาทดลองในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการสรุปว่ายาดังกล่าว มีผลเสียหรือไม่ เนื่องจากไม่มีการศึกษาทดลองทั้งในมนุษย์และสัตว์
ดังนั้น หญิงตั้งครรภ์ที่จะใช้ยาในกลุ่มนี้ ต้องปรึกษากับแพทย์ว่าจะได้ประโยชน์คุ้มค่ากับความเสี่ยง ที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์หรือไม่
• Category D ยาในกลุ่มนี้มีการศึกษาที่ชัดเจนแล้ว ว่ามีผลเสียต่อทารกในครรภ์ ทั้งในมนุษย์และสัตว์ทดลอง แต่มีความจำเป็นต้องใช้ เพื่อรักษาอาการผิดปกติของหญิงตั้งครรภ์ และพบว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการรักษา มีมากกว่าความเสี่ยงที่ทารกในครรภ์จะได้รับอันตรายจากยา
ดังนั้น ยาในกลุ่มนี้จัดเป็นยาที่หญิงตั้งครรภ์มีความจำเป็นต้องใช้ โดยต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์
• Category X เป็นยาที่มีการศึกษาที่แน่นอนทั้งในมนุษย์และสัตว์ทดลองว่า ก่อให้เกิดความเสี่ยงหรืออันตรายต่อทารกในครรภ์ หรือมีรายงานการเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ของมนุษย์ที่ชัดเจน และพบว่าความเสี่ยงนั้นมีมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ยาเพื่อการรักษา
ดังนั้น หญิงตั้งครรภ์จึงห้ามใช้ยาในกลุ่มนี้ หรือหากต้องการตั้งครรภ์ก็ต้องหยุดใช้ยากลุ่มนี้
ยาที่ห้ามใช้ในระหว่างตั้งครรภ์
ยาที่มีการห้ามใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ คือ ยาที่จัดอยู่ในกลุ่ม Category X ที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ยาในกลุ่มนี้มีข้อมูลพบว่าก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ ตัวอย่างยาที่ห้ามใช้ เช่น กลุ่มยาลดไขมันในเลือด เช่น ซิมวาสแตติน (simvastatin) อะทอวาสแตติน (atorvastatin) โรซูวาสแตติน (rosuvastatin) ยาแก้ปวดศีรษะไมเกรนที่มีเออร์โกตามีน (ergotamine) เป็นตัวยาสำคัญ ยาที่มีฮอร์โมนเพศหญิงเป็นตัวยาสำคัญ เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด เป็นต้น ยาวาร์ฟาริน (warfarin) ที่ใช้ต้านการแข็งตัวของเลือด ยาไอโสเตรตติโนอิน (sotretinoin) ที่ใช้รักษาสิว ทั้งชนิดรับประทนาและทาภายนอก
ยาบำรุงครรภ์มีความจำเป็นหรือไม่
เมื่อตั้งครรภ์ควรไปทำการฝากครรภ์ และแพทย์จะให้ยาบำรุงครรภ์ ซึ่งเป็นยาที่จำเป็น เพื่อช่วยป้องกันความผิดปกติที่จะเกิดกับทารกในครรภ์ และช่วยเสริมสร้างร่างกายของทารกให้สมบูรณ์ ยาเหล่านี้ ได้แก่ วิตามินบี กรดโฟลิก (folic acid) เหล็ก แคลเซียม
ดังนั้นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับหญิงตั้งครรภ์ คือ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการรับประทานยาให้น้อยที่สุด แต่หากจำเป็นต้องรับประทนยา หรือมีข้อสงสัยในการใช้ยา แนะนำให้ปรึกษาแพทย์และเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของทั้งมารดาและทารกในครรภ์
ภก.ทศพล เลิศวัฒนชัย
(Some images used under license from Shutterstock.com.)