© 2017 Copyright - Haijai.com
นรก
นรกมีทั้งหมด 8 ขุม ตรงกลางของนรกขุมนั้นจะเรียกว่า มหานรก จะเป็นส่วนที่ลงโทษหนักที่สุดในนรกขุมนั้น โดยไฟในมหานรกจะร้อนกว่าไฟในโลกมาก ในมหานรกจะมีการลงโทษทุกวินาทีโดยไม่หยุดพัก สัตว์นรกที่อยู่ในมหานรกจะไม่มีเวลาแม้แต่จะพูด ชื่อของมหานรกทั้ง 8 ชุม คือ สัญชีวนรก กาฬสุตตนรก สังฆาตนรก โรรุวนรก มหาโรรุวนรก ตาปนนรก ปตาปนนรก มหาอเวจีนรก (สังกิจจชาดกที่ 2 พระไตรปิฎก เล่มที่ 28 พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก ภาค 2 ข้อ 92)
รอบๆ ของมหานรกแต่ละขุมจะมีอุสสทนรกเป็นนรกบริวารอยู่รายรอบทั้ง 4 ทิศ ทิศละ 4 หลุม รวมเป็น 16 หลุม โดยอุสสทนรกจะมีการลงโทษที่เบากว่ามหานรก แต่ก็ยังคงเป็นการลงโทษที่หนักมากอยู่ดี
นอกจากนี้ยังมียมโลกเป็นนรกขุมย่อยลงไปอีกรายรอบทั้ง 4 ทิศ ทิศละ 10 ขุม รวมเป็น 40 ขุม โดยในส่วนของยมโลกจะเป็นส่วนที่มีการลงโทษเบาที่สุดในนรกขุมนั้น (แต่ก็ทรมานกว่าความเจ็บปวดบนโลกหลายเท่า) การลงโทษในยมโลกจะมีบางช่วงที่ว่างเว้นจากการลงโทษ โดยเฉพาะทุกวันขึ้น 15 ค่ำ จะเป็นวันหยุดลงโทษ และจะเป็นวันที่สัตว์นรกในยมโลกได้รับบุญที่ญาติอุทิศมาให้ ซึ่งจะทำให้หมดกรรมเร็วขึ้น
ตอนที่เราตายนั้น หากทำกรรมดีไว้มากกว่ากรรมชั่วก็มีโอกาสไปสุคติ หากทำกรรมชั่วไว้มากกว่ากรรมดีมีโอกาสตกนรกได้มาก กรรมชั่วที่เราได้ทำเอาไว้ที่หนักที่สุดเป็นเท่าไร ก็จะต้องไปรับโทษในมหานรกขุมที่เหมาะสมกับกรรมนั้น เมื่อสิ้นสุดการรับกรรมจากมหานรกในชั้นนั้นแล้ว ก็จะต้องไปรับกรรมต่อในอุสสทนรก (กลาง) ในชั้นนั้น เมื่อรับกรรมในอุสสทนรกในชั้นนั้นแล้ว ก็จะถูกส่งมารับกรรมต่อที่ยมโลก (เล็ก) ในชั้นนั้น
เมื่อรับกรรมครบแล้ว พญายมบาลที่อยู่ในยมโลกก็จะวินิจฉัยว่ากรรมชั่วเหลือเท่าไร เทียบได้กับมหานรกขุมไหน ก็จะถูกส่งไปที่มหานรก (ใหญ่) ชั้นอื่นอีก แล้วก็รับกรรมต่อในอุสสทนรก (กลาง) ในชั้นนั้น แล้วก็ต่อด้วยยมโลก (เล็ก) ในชั้นนั้น เวียนไปรับกรรมจนกรรมเริ่มเบาบางมากแล้ว เมื่อมาถึงที่ยมโลกในชั้นนั้น พญายมบาลก็จะวินิจฉัยว่าจะให้ไปเกิดในภพภูมิไหน (สวรรค์ มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต)
คนทำบาปเยอะ หนัก
มหานรก -> รับกรรมจนบาปเบาบางลง -> อุสสทนรก -> รับกรรมจนบาปเบาบางลง -> ยมโลก -> รับกรรมต่อในมหานรกขุมอื่น หรือ เกิดใหม่เป็นเปรต สัตว์ มนุษย์ เทวดา
ส่วนผู้ที่ทำกรรมดีกับกรรมชั่วเท่าๆ กัน ตอนตายจิตใจจะไม่หม่นหมอง แต่ก็ไม่ผ่องใส (เดี๋ยวได้อ่านเรื่องกรรมจะเข้าใจมากขึ้น) จะถูกส่งไปที่ยมโลกก่อน พญายมบาลจะไต่สวนสอบถามถึงกรรมดีที่เคยได้ทำ หากนึกถึงกรรมดีได้ก็จะได้ไปสู่สุคติ หากนึกถึงกรรมดีไม่ออกและได้ทำกรรมชั่วไว้ก็จะไปสู่ทุคติ
คนทำบาปพอๆ กับบุญ
• ยมโลก (นึกถึงบุญไม่ได้) -> รับกรรมในนรกหรือไปเกิดเป็นเปรต สัตว์
• ยมโลก (นึกถึงบุญได้) -> ไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ เทวดา
ลักษณะในนรกนั้น ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงเอาไว้พอสมควร (เทวทูตสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ 14 พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ข้อ 514-523) เช่น อธิบายว่า
สัตว์นรกจะถูกโยนเข้าไปในมหานรก (ใหญ่) ในมหานรกนั้นจะมีลักษณะเป็นเหมือนห้องสี่เหลี่ยมที่มีประตูทุกด้าน โดยแต่ละด้านกว้างประมาณ 100 โยชน์ (ประมาณ 1600 กิโลเมตร) ด้านบนและด้านล่างก็เป็นเหล็กที่แดงร้อนตลอดเวลา ผนังทั้งสี่ด้าน รวมถึงเพดานและพื้นจะมีไฟพุ่งออกมาจนไปถึงผนังอีกด้าน ผู้ที่อยู่ข้างในต้องรับความทรมานนั้น โดยเมื่อถูกไฟเผาหนังเผาเนื้อจนเหลือแต่กระดูกแล้ว ก็จะมีเนื้อหนังกลับมาอีกครั้งวนเวียนไปเรื่อยๆ
บางครั้งประตูด้านทิศเหนือเปิด เหล่าสัตว์นรกจะแย่งกันวิ่งไปที่ประตูเพื่อหนีจากความร้อนข้างใน ซึ่งหากวิ่งไปไม่ทัน ประตูก็จะปิด บางครั้งประตู้ด้านทิศใต้เปิด เหล่าสัตว์นรกจะแย่งกันวิ่งไปที่ประตูเพื่อหนีจากความร้อนข้างใน ซึ่งหากวิ่งไปไม่ทัน ประตูก็จะปิด สลับกันไปอย่างนี้ สัตว์นรกที่อยู่ข้างในต้องทนทุกข์ทรมานกับไฟนรกและการรอคอยที่จะวิ่งไปให้พ้นประตู
ในบางครั้งจะมีสัตว์นรกบางตัวที่หนีออกมาทางประตูได้ทันก่อนที่ประตูจะปิด แต่ว่ารอบๆ มหานรกนั้นก็จะเต็มไปด้วยอุสสทนรก (กลาง) และยมโลก (เล็ก) อยู่รอบด้าน สัตว์นรกก็จะต้องไปรับกรรมตามขุมต่างๆ ดังนี้
เริ่มด้วยนรกที่เต็มไปด้วยคูถใหญ่ (อุจจาระและหนอน) สัตว์นรกนั้นจะตกไปในนรกคูถ มีสัตว์ปากดังเข็มที่คอยเฉือนผิว เฉือนหนัง เฉือนเนื้อ เฉือนเอ็น แล้วเฉือนกระดูก แล้วกินเยื่อในกระดูก แม้สัตว์นรกจะเจ็บปวดก็จะไม่ตาย ต้องชดใช้กรรมจนหมด
รอบๆ เขตนรกคูถก็จะมาเจอกับนรกที่เต็มไปด้วยเถ้ารึง (ขี้เถ้า) แม้ว่าจะเป็นขี้เถ้า แต่ก็เป็นขี้เถ้าที่ร้อนรุ่มดั่งไฟ สัตว์นรกจึงได้รับความทุกข์อย่างแสนสาหัส แต่สัตว์นรกก็จะไม่ตายแม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม จนกว่าจะใช้กรรมหมด
รอบๆ นรกเถ้ารึงก็จะเจอกับป่างิ้ว โดยต้นงิ้วสูง 1 โยชน์ (16 กิโลเมตร) และมีหนามขนาด 16 องคุลี (ประมาณ 16 นิ้ว) มีไฟลุกท่วม นายนิรยบาลก็จะบังคับให้สัตว์นรกปีนขึ้นๆ ลงๆ ต้นงิ้วนั้น ถูกหนามทิ่มตำทรมานมาก
รอบๆ ป่างิ้วก็จะเจอกับป่าที่ต้นไม้มีใบเป็นดาบ สัตว์นรกก็จะถูกใบที่หล่นลงมาตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง มีแต่ความทุกข์ทรมาน
รอบๆ ป่าใบดาบก็จะเจอกับแม่น้ำใหญ่ที่มีฤทธิ์กัดร่างกายของสัตว์นรก สัตว์นรกจะตกลงไปในแม่น้ำแล้วลอยอยู่ด้วยความเจ็บปวดทรมาน
รอบๆ แม่น้ำนั้นจะมีนายนิรยบาลเอาเบ็ดเกี่ยวสัตว์นรกขึ้นมาวางบนบก แล้วจะถามว่าต้องการอะไรหรือเปล่า หากสัตว์นรกบอกว่าหิว นายนิรยบาลก็จะเอาขอเหล็กที่มีไฟติดทั่วเปิดปากออก แล้วใส่ก้อนโลหะร้อนที่มีไฟติดลุกโพลงเข้าไปในปาก หากบอกว่ากระหายก็จะเทน้ำทองแดงที่มีไฟลุกท่วมกรอกเข้าปาก ซึ่งจะไหม้ปาก คอ ท้อง ลำไส้ ทวาร สร้างความทรมานแก่สัตว์นรกมาก (ในนรกทั้ง 8 ขุม (ชั้น) อาจจะมีรูปแบบการลงโทษนส่วนของมหานรก อุสสทนรก ยมโลกที่แตกต่างกัน ตามรูปแบบและระดับความรุนแรงของกรรมชั่วที่ได้ทำ)
สัตว์นรกจะต้องรับกรรมเหล่านี้โดยที่ไม่ตาย แม้ผิวหนัง เนื้อ กระดูกจะถูกทำลายจนหมด ก็กลับมามีชีวิตเต็มเหมือนเดิม วนเวียนไปเช่นนี้ และหากสัตว์นรกนั้นยังไม่หมดบาปกรรมก็จะถูกโยนเข้าไปในมหานรกอีกขุมแล้วก็วนเวียนแบบนี้ ตราบเท่าที่บาปนั้นยังไม่หมด
นอกจากนี้ยังมีนรกขุมพิเศษชื่อว่า โลกันตนรก เป็นนรกที่แปลกประหลาด คือ อยู่นอกจักรวาล อยู่ระหว่างโลกมนุษย์ สวรรค์ นรก ในโลกันตนรกจะเป็นสถานที่มืดอย่างที่สุด ไม่มีแสงจากดาวดวงไหนมาถึงเลย สัตว์นรกจะมีเล็บมือเล็บเท้ายาว เกาะตามขอบนรกด้วยความหิวโหย เมื่อไต่ไปจนเจอสัตว์นรกตัวอื่นก็จะนึกว่าอาหาร ก็จะสู้กันเพื่อที่จะกินกันเอง หากพลัดตกจากขอบนรกก็จะตกลงไปตรงกลาง ซึ่งเป็นบ่อทะเลน้ำกรดอันเย็นยะเยือกและกัดกร่อนจนเนื้อและกระดูกค่อยๆ กร่อนจนไม่เหลือชิ้นดี พอละลายหมดก็จะมีเลือดเนื้อขึ้นมาใหม่ สัตว์นรกนั้นก็จะรีบปีนขึ้นขอบนรกให้ได้แล้วก็ใช้ชีวิตวนเวียนอย่างนี้ไปนานแสนนาน สัตว์นรกในนรกขุมนี้ จะมีโอกาสได้เห็นแสงสว่างก็ต่อเมื่อมีพระพุทธเจ้ามาประสูติเท่านั้น โดยจะเห็นเป็นเพียงแสงสว่างเหมือนแสงแฟลชของกล้องถ่ายรูปเท่านั้น แล้วก็ต้องรอพระพุทธเจ้าองค์ถัดไปมาประสูติ จึงจะได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง ผู้ที่จะต้องมาตกในโลกันตนรกนั้นก็คือ ผู้ที่ประทุษร้ายพ่อแม่ ผู้ที่ประทุษร้ายสมณพราหมณ์ (พระ) และผู้ที่มีความคิดแบบมิจฉาทิฐิ (ไม่เชื่อเรื่องบาปกร สวรรค์และนรก ฯลฯ) เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับการลงโทษที่เขียนในพระไตรปิฎก (เนมิราชชาดกที่ 4 พระไตรปิฎก เล่มที่ 28 พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก ภาค 2 ข้อ 539-570) โดยแยกให้เห็นว่า หากเราทำกรรมชั่วเช่นไรจะต้องถูกลงโทษอย่างไรบ้าง เช่น
• ผู้หญิงที่ทำแท้ง จะต้องตกลงไปในนรกที่มีลำธาร ซึ่งมีผิวขรุขระและคมราวมีดโกน
• ผู้ที่ชอบด่าว่าผู้อื่น จะถูกลงโทษให้ต้องเดินในแม่น้ำเวตรณี ซึ่งเป็นน้ำที่แสบเผ็ดร้อนเดือดพล่าน
• ผู้ที่ชอบด่าว่าสมณพราหมณ์ (พระ) จะถูกลงโทษโดยให้สุนัขแดง สุนัขด่าง ฝูงแร้ง ฝูงกา รุมจิกกินเนื้อ
• ผู้ที่ชอบด่าว่าคนที่ถือศีล จะต้องเดินบนแผ่นดินเหล็กและถูกโบยด้วยท่อนเหล็กร้อน
• ผู้ที่ชอบหลอกลวงเอาทรัพย์ของประชาชน จะจมในหลุมถ่านเพลิงและถูกไฟไหม้ทั่วร่าง
• ผู้ที่ชอบจับนกมาฆ่าเลี้ยงชีพ จะถูกผูกคอด้วยเหล็กอันลุกโพลง แล้วตัดหัวโยนลงน้ำร้อน
• ผู้ที่ชอบลักทรัพย์ของผู้อื่นมาเลี้ยงชีพ จะถูกลูกศรและหอกแทงด้านข้าง
• ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์เพื่อขายเลี้ยงชีพ จะถูกลงโทษโดยผูกคอเอาไว้ และถูกตัดตัวออกเป็นท่อนๆ
• ผู้ที่ชอบเบียดเบียนเพื่อน มิตร จะถูกลงโทษให้ลงไปอยู่ในน้ำเน่า และต้องกินอุจจาระ น้ำเหลือง
• ผู้ที่ซื้อขายของแล้วโกงราคา แล้วปกปิดความผิดเอาไว้ ด้วยคำพูดที่อ่อนหวาน จะถูกเอาเบ็ดเกี่ยวลิ้น เอาขอเหล็กเกี่ยวหลัง
• ผู้หญิงที่คบชู้ด้วยความสนุก จะถูกลงโทษโดยต้องจมอยู่ในดินครึ่งตัว ถูกตัดหัวขาด ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและหนอง และถูกภูเขาไฟที่อยู่รอบ 4 ทิศ กลิ้งมาบดให้แหลกละเอียด
• ผู้ที่ฆ่าพระที่บรรลุธรรมแล้ว จะตกนรกหมกไหม้ในตาปนนรกแสนปีทิพย์
• ผู้ที่ฆ่าพ่อด้วยความโลภหรือความโกรธ จะต้องตกในสุตตนรกสิ้นกาลนาน โดยจะต้องหมกไหม้อยู่ในกระทะทองแดง และถูกนายนิรยบาลเอาหอกที่ไฟลุกแทงจนเนื้อไหม้ แทงตาบอด ให้กินมูตรกินคูถ
ข่าวร้ายอย่างแรกสำหรับการต้องตกนรกก็คือ การเกิดในนรกเป็นแบบโอปปาติกะ นั่นก็คือคุณจะเกิดแล้วโตเลย ฉะนั้น คุณจะยังมีความรู้สึกถึงตัวตนเดิม มีความทรงจำเดิมก่อนที่จะตาย และมีความเจ็บปวดเหมือนตอนที่ยังเป็นคน ลองคิดดูครับว่า แค่อากาศร้อน 40 องศา เรายังทนไม่ไหว แค่โดนไฟลวกนิดหน่อย โดนมีดบาดก็เจ็บมาก สภาพหลายอย่างในชีวิตจริงของเราเทียบเคียงได้กับในนรก แต่ในนรกจะหนักกว่าหลายเท่า แต่ก็พอให้ทราบว่าหากต้องอยู่ในนรกจะทรมานแค่ไหน เราต้องอยู่ในที่ร้อนตลอด 24 ชั่วโมง ต้องถูกไฟคลอกตลอด 24 ชั่วโมง ต้องถูกเฉือนเนื้อ กระดูก เอ็นตลอด 24 ชั่วโมง แม้ทนไม่ได้จนขาดใจตาย ก็ต้องฟื้นขึ้นมาอีกรอบเพื่อรับกรรมต่ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด จึงเป็นความทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนับล้านปี (อ่านไม่ผิดหรอกครับ)
ข่าวร้ายอย่างที่สองก็คือ กรรมชั่วหนึ่งอย่างที่เราได้ทำ เราก็จะต้องชดใช้กรรมด้วยการลงโทษหนึ่งอย่าง หากคุณทำกรรมชั่วเอาไว้มากแค่ไหนก็ตาม คุณก็จะต้องไปรับกรรมให้ครบตามที่ได้ทำ เช่น คุณทำกรรมชั่วครบทุกอย่าง คุณก็จะต้องไปรับกรรมในนรกครบทุกขุม หากทำกรรมชั่วครั้งเดียว คุณก็อาจจะต้องอยู่ในขุมนั้นๆ ไม่นานมาก ถ้าทำหลายครั้งก็อาจจะอยู่ในขุมนั้นๆ หลายแสนปี หลายล้านปี ลองคิดดูนะครับว่า หากคุณได้ทำกรรมชั่วมาหลายอย่าง แต่ละอย่างทำหลายครั้ง และเมื่อรวมกับกรรมชั่วที่เคยทำในชาติก่อนๆ คุณอาจจะต้องชดใช้กรรมอยู่ในนรกหลายๆ ขุมรวมเวลาเป็นล้านๆ ปี (อ่านไม่ผิดหรอกครับ) ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากต้องไปเจอสภาพแบบนั้นจะเป็นอย่างไร ใครอยากลองก็เชิญนะครับ
จากรูปแบบของความทุกข์ทรมานที่สัตว์นรกได้รับ และจากระยะเวลาที่ต้องรับกรรมที่ยาวนานมาก จะเห็นว่าความทุกข์ทรมานในโลกมนุษย์นั้นเทียบไม่ไดเลยกับความทุกข์ทรมานในนรก ฉะนั้นการทำบาปเพื่อให้ได้ความสุขระยะสั้นบนโลกมนุษย์ เช่น การโกง การโกหก ประพฤติผิดในกาม แล้วต้องไปรับกรรมในนรกยาวนานและทรมานนับล้านๆ ปี จึงถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มเลย ก่อนเราจะทำบาปจึงต้องคิดให้ดี ผมเตือนคุณแล้วนะ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)