Haijai.com


ผ่าตัดมดลูก ตัดรังไข่ ตัดกังวล


 
เปิดอ่าน 12937

ตัดมดลูก ตัดกังวล

 

 

ในการพิจารณาผ่าตัดมดลูกออก โดยปกติแพทย์จะตัดในกรณีมีโรคเกิดขึ้น สำหรับผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ยังต้องการมีลูก ส่วนใหญ่แพทย์จะพยายามรักษาโดยเก็บมดลูกไว้ เช่น ถ้ามีเนื้องอกก็จะตัดเฉพาะเนื้องอก แต่ถ้าโรครุนแรงหรือผู้ป่วยไม่ต้องการมีลูกอีกแล้ว แพทย์อาจพิจารณาตัดมดลูกออก กรณีที่ผู้ป่วยอายุมากหรือมีรอยโรคที่รังไข่ด้วย แพทย์อาจพิจาณาตัดทั้งมดลูกและรังไข่ออก สำหรับการตัดมดลูกและรังไข่ในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ จะทำให้รังไข่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนเพศหญิงได้อีก กรณีนี้ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนทดแทน แต่ถ้าผู้ป่วยอยู่ในวัยหมดประจำเดือน การรักษาด้วยวิธีผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออกไปมักไม่ค่อยมีปัญหาอะไร ยกเว้นในรายที่มีอาการติดเชื้อหรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ จำเป็นต้องกลับมาพบแพทย์อีกครั้ง

 

 

มดลูกและรังไข่เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง และเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมากต่อผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่ยังต้องการมีลูก แต่จะทำอย่างไรถ้ามีเหตุให้ต้องผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่ออกไป ได้รับเกียรติจาก ศ.นพ.นิมิต เตชไกรชนะ หัวหน้าหน่วยวิจัยสตรีวัยหมดระดู ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาให้ความรู้ในเรื่องนี้

 

 

ตามธรรมชาติรังไข่ของผู้หญิงจะเริ่มสร้างฮอร์โมนเพศหญิงที่เรียกว่าฮอร์โมนเอสโตรเจน เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เช่นเดียวกับเด็กผู้ชายที่อัณฑะจะเริ่มผลิตฮอร์โมนเพศชายเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นเช่นกัน โดยเด็กผู้ชายจะเริ่มมีเสียงแหบห้าว มีกล้ามเนื้อ มีหนวดเครา ขนขึ้นตามแขน ขา หน้าแข้ง หน้าอก รักแร้ และบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นต้น ส่วนเด็กผู้หญิงจะเริ่มมีน้ำมีนวล หน้าอกขยาย มีทรวดทรงองค์เอว และมีประจำเดือนในช่วง 1-2 ปีแรกที่ร่างกายเริ่มผลิตฮอร์โมนเพศหญิง ประจำเดือนอาจมาไม่สม่ำเสมอ แต่หลังจากนั้นส่วนใหญ่จะเริ่มตกไข่สม่ำเสมอขึ้น ประจำเดือนจึงมาตรงตามรอบทุก 26-28 วัน เปรียบเหมือนรถไฟที่เพิ่งออกจากชานชลาย่อมต้องมีกระตุกบ้าง แต่พอเริ่มวิ่งเต็มที่จะวิ่งสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ จนอายุย่างเข้า 40 ปี ประจำเดือนจะเริ่มรวมอีกครั้ง เหมือนรถไฟเตรียมชะลอตัวเข้าสู่ชานชลา จากที่เคยมีประจำเดือนมาทุก 26-28 วัน กลายเป็นมาช้าบ้างเร็วบ้าง เป็นเช่นนี้อยู่หลายปีจนกระทั่งเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนที่อายุประมาณ 48-50 ปี

 

 

ขณะที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ รังไข่ยังมีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ถ้ารังไข่ถูกตัดออกไปทั้งที่ยังไม่เข้าใกล้วัยหมดประจำเดือน จะทำให้ฮอร์โมนเพศหญิงลดลงอย่างฮวบฮาบ ส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายในหลายๆ ด้าน ยิ่งตัดออกตอนอายุน้อยเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีอาการมากขึ้นเท่านั้น เช่น ร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า ความต้องการทางเพศหายไป ซึ่งเป็นอาการที่เกิดเร็วกว่าวัย เพราะโดยทั่วไปผู้หญิงจะเริ่มมีอาการเหล่านี้เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นวัยที่รังไข่หยุดทำงานไปแล้วตามธรรมชาติ ในกรณีนี้แพทย์อาจพิจารณาใช้ฮอร์โมนทดแทน เพื่อให้ร่างกายได้ค่อยๆ ปรับตัว จากนั้นจึงค่อยๆ ปรับลดฮอร์โมนลง โดยทั่วไปที่แพทย์ทั่วโลกส่วนใหญ่แนะนำคือ ให้ใช้ฮอร์โมนทดแทนไปจนกระทั่งถึงวัยหมดประจำเดือน เป็นการเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งอายุเฉลี่ยการเข้าสู่วัยทองของหญิงไทยจะอยู่ที่ประมาณ 48-50 ปี ชาวตะวันตกอยู่ที่ 51-52 แต่ถ้าประจำเดือนหมดก่อน 45 ปี นับว่าหมดเร็วเรียกว่า Early Menopause กรณีนี้อาจมีอาการวัยทองเร็วกว่าคนทั่วไป อาจเกิดกระดูกบางเร็วขึ้น แต่ถ้าประจำเดือนหมดก่อน 40 ปี ถือว่าหมดก่อนกำหนด ควรต้องหาสาเหตุ

 

 

เพราะบางรายอาจมีความผิดปกติที่โครโมโซม ถ้าพบว่ามีโครโมโซม Y ของเพศชายอยู่ด้วย จำเป็นต้องตัดรังไข่ออก เนื่องจากโครโมโซม Y ที่ซ่อนอยู่ในรังไข่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งรังไข่ได้ ถ้าไม่ได้เกิดจากโครโมโซมผิดปกติ แต่มีโรคบางอย่างที่ทำให้รังไข่หยุดทำงานเร็วกว่าวัย บางกรณีถ้าสามารถรักษาโรคนั้นได้ รังไข่อาจจะกลับมาทำงานเป็นปกติเหมือนเดิม

 

 

สาเหตุที่ต้องผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่

 

สาเหตุส่วนใหญ่มาจากตัวโรคที่มดลูกหรือรังไข่ โดยแพทย์จะพิจารณาถึงความเหมาะสมว่าระหว่างการเก็บไว้กับการตัดออก อย่างใดจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยหญิงอายุ 50 ปี รังไข่หยุดการทำงาน ไม่มีโอกาสมีลูกแล้ว เมื่อเกิดโรคที่มดลูก แพทย์อาจพิจารณาตัดมดลูกออก อีกประเด็นหนึ่งที่บางคนอาจสงสัยหรือเป็นกังวลคือ “การตัดมดลูกออกมีผลต่อการมีเพศสัมพันธ์หรือไม่” ขอตอบว่า “การตัดมดลูกไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการมีเพศสัมพันธ์ เพราะอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกช่องคลอดยังคงอยู่เป็นปกติ”

 

 

นอกจากนี้การผ่าตัดเนื้องอกหรือถุงน้ำในมดลูก หรือรังไข่ แพทย์ก็จะใช้หลักการเดียวกัน คือ พิจารณาว่าการผ่าตัดนั้นได้ผลคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่ เนื่องจากทุกการผ่าตัดมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเสี่ยงมากรหือเสี่ยงน้อยก็ตาม เช่น ถ้ามดลูกมีเนื้องอกขนาด 2 เซนติเมตร ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร โอกาสที่จะกลายเป็นมะเร็งน้อยมาก อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แต่ถ้าเนื้องอกใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มเป็นมะเร็ง หรือส่งผลให้ประจำเดือนมามากจนกระทั่งซีดหรือเป็นลม

 

 

กรณีนี้จำเป็นต้องผ่าตัดเอาออก รังไข่ก็เช่นกัน การมีถุงน้ำรังไข่ต้องตรวจดูก่อนว่า เป็นเพียงถุงน้ำธรรมดาหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่จะพบเป็นถุงน้ำธรรมดาขนาด 2-3 เซนติเมตร ขึ้นๆ ยุบๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายในแต่ละช่วง กรณีนี้ไม่จำเป็นต้องทำอะไร และไม่ต้องกังวล แต่ถ้าผู้ป่วยไม่มั่นใจ แพทย์จะนัดมาตรวจดูอีกครั้งในอีก 2-3 เดือน ซึ่งส่วนใหญ่จะพบว่าถุงน้ำยุบไปแล้ว แต่ถ้าถุงน้ำมีขนาดใหญ่เกิน 6-7 เซนติเมตร ร่วมกับมีก้อนแข็งๆ อย่างนี้ถือว่าผิดปกติ ต้องรับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมต่อไป

 

 

ข้อกังวลใจที่พบบ่อย

 

ทุกคนเมื่อรู้ว่าต้องผ่าตัด ไม่ว่าจะผ่าตัดเล็กหรือผ่าตัดใหญ่ ต่างก็มีความกลัวและวิตกกังวลใจด้วยกันทั้งนั้น ทั้งกลัวเจ็บ กลัวเสียเลือด กลัวติดเชื้อ กลัวภาวะแทรกซ้อน กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ที่กังวลมากที่สุดคือ “ความผิดปกตินั้นคืออะไรกันแน่” ถ้ารู้ชัดเจนว่าเป็นอะไร ผู้ป่วยมักไม่ค่อยกังวล แต่ส่วนใหญ่ที่ผ่าตัดมักจะเป็นเนื้องอกธรรมดาไม่ใช่มะเร็ง สิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้คือหลังการผ่าตัดสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยควรสอบถามแพทย์ผู้รักษาด้วยว่า สรุปแล้วความผิดปกตินั้นคืออะไร เพราะอาจเป็นประโยชน์ในการซักประวัติ หากต้องมารับการรักษาอาการป่วยอื่นๆ กับแพทย์ท่านอื่นในอนาคต

 

 

การตรวจภายในหลังตัดมดลูกหรือรังไข่

 

อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าตัดทั้งมดลูกและรังไข่ออกไปหรือไม่ ถ้าผ่าตัดเอาเฉพาะมดลูกออกแต่รังไข่ยังอยู่ หรือตัดเฉพาะรังไข่แต่มดลูกยังอยู่ กรณีนี้ควรมารับการตรวจภายในเป็นประจำทุกปี เนื่องจากอวัยวะทั้งสองเป็นอวัยวะที่อยู่ภายในร่างกาย การตรวจจะช่วยให้พบความผิดปกติได้เร็ว เพิ่มโอกาสการรักษาหายขาด แต่ถ้าตัดทั้งมดลูกและรังไข่ออกทั้งหมด ก็ต้องมาพิจารณาถึงสาเหตุที่ต้องตัดออกว่าเป็นเพราะอะไร

 

 

ถ้าตัดเพราะเนื้องอกมดลูกประกอบกับอายุมาก แล้วจึงตัดรังไข่ออกไปด้วย เช่นนี้อาจไม่ต้องมาตรวจมะเร็งอีกเลย เพราะว่าไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่เกิดที่ปากมดลูก ถ้าตัดออกหมดแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ถ้าการตัดเพราะปากมดลูกมีความผิดปกติที่จะเป็นมะเร็งหรือเป็นมะเร็งไปแล้ว แบบนี้ยังคงต้องมารับการตรวจภายในอยู่ เพราะเซลล์ที่ปากมดลูกและช่องคลอดเป็นเซลล์ชนิดเดียวกัน ดังนั้นถ้ามีความผิดปกติที่เซลล์บริเวณปากมดลูก ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจเกิดความผิดปกติที่เซลล์ช่องคลอด และอาจกลายเป็นมะเร็งปากช่องคลอดได้

 

 

ดูแลตัวเองหลังผ่าตัด

 

อันที่จริงไม่ว่าจะผ่าตัดหรือไม่ก็ตาม เราทุกคนก็ควรต้องดูแลตัวเอง อย่ารอจนกระทั่งป่วยเป็นโรคแล้วจึงค่อยดูแล ในกรณีที่ผ่าตัดมดลูกรังไข่ออกไปแล้ว ถ้าเป็นผู้หญิงที่ตัดก่อนวัยหมดประจำเดือน จะมีความเสี่ยงต่อการขาดฮอร์โมน เพราะร่างกายยังอยู่ในวัยที่ต้องการฮอร์โมน ส่งผลให้มีอาการได้หลายอย่าง ทั้งร้อนวูบวาบ เหงื่อแตก อารมณ์หงุดหงิดง่าย ช่องคลอดแห้ง ความต้องการทางเพศหายไป

 

 

ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคู่สามีภรรยา ดังนั้น ถ้าผู้ป่วยมีอาการเหล่านี้ จำเป็นต้องได้รับการดูแล แม้อาการที่ปรากฏจะไม่ได้ร้ายแรงเหมือนโรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ แต่ก็ทำให้คุณภาพชีวิตเสียไป จึงไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะทุกอย่างมีทางแก้ไข อย่าใช้วิธีทนเอา บางคนกลัวการใช้ฮอร์โมนทดแทนมากเกินไป กลัวว่าจะเป็นมะเร็ง จึงอยากให้เปรียบเทียบกับการใช้ไฟฟ้า ถ้าไฟช็อตเราก็อาจาจะเสียชีวิตได้ แต่ถ้ากลัวจนไม่ยอมใช้ไฟฟ้าเลย เราก็เสียประโยชน์ เพราะฉะนั้นประเด็นคือ ต้องรู้จักใช้ และใช้อย่างระมัดระวัง ไม่ประมาท

 

 

ศ.นพ.นิมิต เตชไกรชนะ

หัวหน้าหน่วยวิจัยสตรีวัยหมดระดู ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา

คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

(Some images used under license from Shutterstock.com.)