© 2017 Copyright - Haijai.com
พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
(ข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์นี้ ขอให้อ่านเอาความเข้าใจเป็นหลักเท่านั้น หากต้องการอ่านเพื่อให้ได้เนื้อหาทางวิชาการอย่างถูกต้องทุกคำพูด ขอให้ศึกษาจากหนังสือเฉพาะทางจริงๆ)
ประเด็นสำคัญที่สุดที่ทำให้ผมและผู้คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อเรื่องของศาสนา (ทุกศาสนา) ก็เพราะว่า เรารู้สึกว่าสิ่งที่กล่าวอ้างในศาสนานั้นพิสูจน์ไม่ได้ ศาสนาพุทธก็เช่นกัน เรื่องของวิญญาณ เวรกรรม บาปและบุญ สวรรค์และนรก ชีวิตหลังความตาย ฯลฯ เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เราเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แม้แต่เรื่องของพระพุทธเจ้า บางคนอาจคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเล่า ไม่ใช่เรื่องจริง ทั้งที่จริงแล้วมีบันทึกทางประวัติศาสตร์และหลักฐานที่ยังหลงเหลืออยู่ที่อินเดีย สามารถยืนยันได้ว่าพระพุทธเจ้ามีตัวตนจริงๆ
แล้วความจริงคืออะไร สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ไม่ได้หรือว่าแค่ “ยัง” พิสูจน์ไม่ได้เท่านั้น ขอให้เราค่อยๆ จัดเรียงความคิดของเราดูก่อน แล้วอาจจะได้คำตอบที่ชัดเจนขึ้น
ข้อพิสูจน์แรกเรื่องวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนา
ในอดีต มนุษย์เราเชื่อว่าโลกแบน คนที่เชื่อว่าโลกกลมจะถูกประหารชีวิต อาริสโตเติลซึ่งเกิดในกรีซเมื่อ 384 ปีก่อนคริสตกาลให้ทฤษฎีว่า โลกอยู่ตรงกลางของจักรวาล โดยมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หมุนรอบ อะไรที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อนี้เป็นสิ่งเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องเหลวไหลพิสูจน์ไม่ได้ ซึ่งคนในยุคนั้น หากใครไม่เชื่อตามนี้จะถูกลงโทษ และหากใครพยายามเผยแพร่ข้อมูลที่ตรงข้ามก็อาจถูกประหาร โดยความคิดนี้คงอยู่มานานนับพันปี
จนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14-15 มีโคเพอร์นิคัสที่พยายามลบล้างความเชื่อนี้ แต่ตอนนั้นก็ยังเป็นเพียงความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ผ่านมาอีกร่วมร้อยปี มาถึงยุคของกาลิเลโอ เขายืนยันว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่ก็ถูกต่อต้านอย่างหนักจากคณะตุลาการของคริสต์ศาสนาในยุคนั้น และถูกจับลงโทษ ถูกบังคับให้ประกาศว่า สิ่งที่เขาเชื่อไม่ใช่ความจริง ยุคนนั้นใครเชื่อกาลิเลโอจะถือว่าเป็นพวกเพ้อเจ้อ เป็นพวกที่เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้
และกาลิเลโอนี่เองที่ได้คิดค้นกล้องส่องดูดาวที่ทำให้สามารถมองเห็นนอกสุริยจักรวาล จนเห็นทั้งกาแล็กซีทางช้างเผือก ทำให้คนในสมัยนั้นเริ่มรู้ว่ายังมีดวงดาวอีกมากมายนอกเหนือจากในสุริยจักรวาล แต่นอกเขตของกาแล็กซีทางช้างเผือกนั้น กล้องของกาลิเลโอมองเห็นเพียงความมืด เขาจึงเชื่อว่าสุดขอบของจักรวาลทั้งหมดอยู่ที่สุดขอบของกาแล็กซีทางช้างเผือกนี่เอง ในยุคนั้นความเชื่อเรื่องมีดวงดาวที่อยู่นอกกาแล็กซีทางช้างเผือก จึงเป็นเรื่องเหลวไหลที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้
เมื่อมนุษย์สามารถประดิษฐ์กล้องดูดาวที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นดวงดาวที่อยู่นอกกาแล็กซีทางช้างเผือก ลบล้างความเชื่อของกาลิเลโอไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าในอวกาศนั้น น่าจะมีนับล้านๆ กาแล็กซี และมีดวงดาวอยู่ทั้งหมดนับไม่ถ้วน และมีทฤษฎีสตริง (String Theory) กล่าวไว้ว่า จักรวาลอาจมีมากถึง 10 ยกกำลัง 500 แห่ง (หนึ่งตามด้วยศูนย์ 500 ตัว) และแต่ละจักรวาลจะมีกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหมายความว่า กฎฟิสิกส์ที่ใช้ในโลกของเราเอาไปใช้กับดาวที่อยู่ในจักรวาลอื่นไม่ได้ ทฤษฎีนี้น่าสนใจมาก
มองย้อนกลับไปจะเห็นว่า ความจริงว่ามีดวงดาวอยู่นับไม่ถ้วนที่อยู่นอกกาแล็กซีทางช้างเผือก เคยเป็นเรื่องที่เพ้อเจ้อ เพราะวิทยาศาสตร์ในยุคนั้น ไม่สามารถพิสูจน์ได้
ในขณะที่ความเชื่อเรื่องดวงดาวของตะวันตกค่อยๆ พัฒนาขึ้นดังที่กล่าวมานี้ ย้อนกลับไปในยุคพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ดังปรากฏในพระไตรปิฎก (จูฬนีสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ 20 พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก – ทุก – ติกนิบาตร ข้อ 520) ว่า
“ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล (โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ) อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่า โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล (1 ล้านล้าน)”
คำที่ใช้เรียกกาแล็กซีนั้น เป็นศัพท์ที่กำหนดในภายหลัง ฉะนั้น คำว่าจักรวาลในพระไตรปิฎกอาจจะหมายถึงจักรวาล หรืออาจจะหมายถึงกาแล็กซีก็ได้ แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ข้อมูลนี้เป็นสิ่งยืนยันอย่างชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าทรงรู้เรื่องที่ว่ามีดวงดาวอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน ตั้งแต่เมื่อเกือบ 2600 ปีที่แล้ว
นอกจากนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า “ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง”
หมายความว่า เราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว ยังมีโลกอีกนับพันดวง โดยจะมีจักรวาล (กาแล็กซี) ที่มีโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์อยู่ประมาณพันจักรวาล (กาแล็กซี)
ในเนื้อหาบทเดียวกัน พระไตรปิฎกบทอื่น (พระอรรถกถา เล่มที่ 47 พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต หน้า 36) ยังได้กล่าวว่า ในจักรวาล (กาแล็กซี) ที่เราอยู่ มีชมพูทวีป อุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป และบุพวิเทหทวีป
หากเราตีความแบบหนึ่ง เราก็อาจจะตีความว่า ชมพูทวีป หมายถึงบริเวณอินเดีย และอีก 3 ทวีป หมายถึง ประเทศอื่น แต่เนื่องจากพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก (ฐานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก – อัฏฐก – นวกนิบาต ข้อ 225) ว่า คนในชมพูทวีปกับคนในทวีปอื่นมีลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น คนในอุตรกุรุทวีปจะมีอายุขัยที่แน่นอน ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความรู้สึกหวงแหน
เราจึงอาจแปลความหมายได้อีกแบบหนึ่งว่า ในกาแล็กซีที่เราอยู่ (กาแล็กซีทางช้างเผือก) มีดวงดาวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่อีก 3 ดวง ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ ณ ปัจจุบันยังเป็นข้อมูลที่ดูเพ้อเจ้อ เพราะวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ และคงต้องรออีกนานแสนนานกว่าจะพิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสนั้นถูกต้องหรือไม่ เพราะแค่สำรวจในสุริยะจักรวาลให้ครบ ก็เป็นเรื่องยากมากในปัจจุบัน
(Some images used under license from Shutterstock.com.)