Haijai.com


เติมเต็มใบหน้าด้วย ไขมันตัวเอง VS ฟิลเลอร์


 
เปิดอ่าน 15897

เติมเต็มใบหน้า ด้วยไขมันตัวเอง

 

 

เมื่อพูดถึงความโรยราของใบหน้า อาจเป็นประเด็นที่ตรงใจใครหลายคนที่กำลังประสบกับปัญหานี้อยู่ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น รูปหน้าของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เกิดปัญหาอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงวัยตามมา ไม่ว่าจะเป็นผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย ร่องลึก แก้มตอบ ใบหน้าไม่อิ่ม โดยส่วนใหญ่แล้วมักเกิดปัญหาในตำแหน่งที่ยุบตัวบนใบหน้านั่นเอง

 

 

การแก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของใบหน้า ย่อมมีหลักเกณฑ์มาตรฐานในการรักษาเพื่อความถูกต้องและสวยงาม สำหรับเกณฑ์การวัดสัดส่วนใบหน้าที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก และเป็นมาตรฐานสากลนั้น คือ ทฤษฎีสัดส่วนเทพประทาน

 

 

ยึดหลักทฤษฎีเพื่อใบหน้าสวยเพอร์เฟ็กต์

 

ใบหน้าคนเราเติบโตเต็มที่หลังอายุ 20 ปีขึ้นไป โครงสร้างใบหน้าส่วนใหญ่จะคงตัว ซึ่งควรสอดคล้องกับทฤษฎีที่เรียกว่า “สัดส่วนเทพประทาน” (The Divine Propotion) ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นใบหน้าที่สวยงาม สัดส่วนเทพประทาน คือ ตัวเลขระหว่าง 1 ถึง 1.618 ที่วัดจากมุมตรง และมุมมองด้านข้างของใบหน้า พร้อมพิจารณาตามหลักสำคัญทางชีววิทยา คือ ไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ อายุ เพศ หรือตัวแปรอื่นๆ จากทฤษฎีนี้ Dr.Marquardt ได้พัฒนา Soft Tissue Analysis และได้สร้างหน้ากากแห่งความงามทั้งของผู้ชายและผู้หญิงขึ้นมา เมื่อหน้ากากนี้วางไปบนใบหน้าของใครแล้วใบหน้านั้นๆ มีสัดส่วนที่เหมือน หรือใกล้เคียงกับสัดส่วนของหน้ากาก แสดงว่าใบหน้านั้นมีความงามสมบูรณ์ตามแบบของ The Divine Propotion โดยเชื่อว่า หน้ากากนี้สามารถใช้ได้กับคนทุกเชื้อชาติ การมีใบหน้าสวยงามได้สัดส่วน จึงยึดหลักตามทฤษฎีนี้

 

 

อายุมากขึ้นรูปหน้าเปลี่ยน

 

การเปลี่ยนแปลงรูปหน้าของคนเราที่เกิดขึ้นจากอายุนั้น มีการเปลี่ยนแปลงใน 2 เรื่องหลักๆ คือ การหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อและผิวหนังจากแรงโน้มถ่วง และการยุบลงหรือบางลงขององค์ประกอบที่ใบหน้า เช่น ชั้นไขมันที่บางตัวลง แม้กระทั่งกระดูกใบหน้าเอง ก็มีการฝ่อยุบตัวเช่นเดียวกัน ปัญหาเหล่านี้หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่า “ไขมัน” ก็สามารถนำมาแก้ไขได้เช่นกัน การฉีดไขมันเติมเต็มบริเวณใบหน้ามีการทำมาเป็นระยะเวลานานแล้ว โดยใช้ในการเติมเต็มผู้ป่วยที่ใบหน้ายุบจากโรคบางอย่าง หรือจากอุบัติเหตุ ในระยะหลังมีการใช้เติมเต็ม เพื่อความงามให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์กันมากขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะการดูดไขมันเป็นเทคนิคที่ทำเป็นประจำ และค่อนข้างปลอดภัย และไขมันที่ดูดมาจากตนเองย่อมไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน เมื่อนำมาเติมลงบนที่ใหม่ในคนเดียวกัน

 

 

กระแสการตื่นตัวในการดูสุขภาพความงาม ทำให้คนไข้ที่ต้องการเติมเต็มใบหน้าด้วยไขมันตัวเองมีอายุน้อยลง เพราะหากจะทำการดึงหน้า ก็อาจจะเป็นหัตถการที่มากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะช่วงอายุ 40-50 ปี ซึ่งมักเริ่มมีริ้วรอยและการฝ่อตัวลงของเนื้อเยื่อบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะไขมัน แต่ผิวหนังยังไม่เหี่ยวย่นมาก ในช่วงอายุนี้การเติมเต็มส่วนที่ขาดจึงเข้ามามีบทบาท ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้คนไข้มีทางเลือกในการรักษามากขึ้น

 

 

ไขมันตัวเอง VS ฟิลเลอร์

 

ปัจจุบันการเติมเต็มใบหน้าด้วยฟิลเลอร์ถือเป็นหัตถการที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ทำได้ง่ายและเจ็บตัวน้อย แต่ก็มีปัญหาที่ความคงตัวของฟิลเลอร์ ซึ่งมักสลายไปในเวลาที่จำกัด แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ ก็จะมีฟิลเลอร์ชนิดถาวรออกมามากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังมีความกังวลกันมากต่อภาวะแทรกซ้อนของการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งการใช้ไขมันจะมีภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการแพ้สาร เพราะไขมันเป็นของผู้ป่วยเอง จึงไม่ทำให้เกิดการแพ้แต่อย่างใด สำหรับในกลุ่มอายุที่มากขึ้น มีปัญหาทั้งการยุบลงหรือบางลงของเนื้อเยื่อร่วมกับผิวหนังที่หย่อนคล้อย การดึงหน้าจะช่วยแก้ปัญหาหนังหย่อนคล้อยได้ดี แต่อาจจะทำให้ใบหน้าดูแบน หากใช้ไขมันเติมร่วมด้วยจะช่วยสร้างให้ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้นได้

 

 

Fat Grafting แปลงโฉมไขมันร้ายให้กลายเป็นดี

 

Fat Grafting เป็นการย้ายตำแหน่งไขมันจากบริเวณที่ไม่ต้องการ เช่น หน้าท้อง ต้นขา มาเติมเต็มในส่วนที่บกพร่องบนใบหน้า เช่น ขมับ รอยเว้าใต้โหนกคิ้ว รอยหวำใต้ตา ร่องข้างจมูก ใต้โหนกแก้ม เนื่องจากไขมันบางส่วนที่หายไป ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบดวงตาลดลง เนื่องจากพังผืดที่ยึดบริเวณรอบดวงตา มีการหย่อนทำให้เกิดร่องลึกลงไปเรื่อยๆ ในอดีต ปัญหาของการทำ Fat Grafting คือการดูดไขมันออกมาแล้วฉีดกลับเข้าไปในทันที ทำให้ฉีดแล้วไขมันหายไปหมด หรือผิวไม่เรียบ เนื่องจากไขมันเป็นเม็ดใหญ่ จึงได้มีการพัฒนากรรมวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว นั่นคือ การนำไขมันมาผ่านกระบวนการปั่นแยก เพื่อแยกส่วนผสมของไขมันที่ดูดออกมาจากกัน โดยผ่านกระบวนการทางเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นใหม่ ทำให้ได้ไขมันที่มีชีวิตและคุณภาพสูง เป็นการทำให้ไขมันมีชีวิตรอดมากขึ้น หลังจากฉีดเทคนิคในการเตรียมความพร้อมของไขมัน องค์ประกอบด้านเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย รวมถึงเทคนิคการฉีดที่ทำเป็นจุดและกราฟเล็กๆ ไม่ใส่ไขมันเป็นกระจุกใหญ่ เหล่านี้ล้วนทำให้ไขมันคงอยู่ได้มาก และทำให้ได้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีขึ้น

 

 

บริเวณใดที่เหมาะกับการเติมเต็มด้วยไขมัน?

 

ตำแหน่งที่ทำการฉีดไขมันบริเวณใบหน้า คือ ตำแหน่งที่ยุบตัวเมื่ออายุมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งอาจเป็นขมับ รอยหวำใต้โหนกคิ้ว รอยเว้าใต้ตา ร่องข้างจมูก ใต้โหนกแก้ม เป็นต้น เพื่อเติมเต็มผิวที่หย่อนคล้อย ริ้วรอยร่องลึก แก้ปัญหาแก้มตอบ ตาเป็นเบ้าลึก ฯลฯ ซึ่งถ้าตำแหน่งบนใบหน้าเป็นบริเวณที่ไม่ขยับมาก ไขมันก็จะอยู่ตัวดี แต่ในตำแหน่งที่มีการขยับมาก ก็จะมีการสลายของไขมันมากตามไปด้วย

 

 

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา

 

คนไข้ต้องมีเวลาเตรียมตัวสำหรับพักฟื้นในช่วง 1-3 สัปดาห์หลังทำ ควรงดวิตามิน อาหารเสริม ยาบำรุง และยาต้านเกร็ดเลือดทุกชนิด ไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์

 

 

ขั้นตอนการใช้ไขมันเติมเต็มบริเวณใบหน้า

 

เริ่มจากการดูดไขมัน โดยมากใช้ขั้นตอนการดูดไขมันแบบปกติจากหน้าท้องหรือต้นขา แล้วนำมาเตรียมในภาวะปลอดเชื้อ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ต้องระวังไม่ให้ไขมันสัมผัสกับอากาศโดยตรง เป็นระยะเวลานาน โดยการเตรียมจะคัดเอาเลือดหรือน้ำที่ปนมากับไขมันออกให้เหลือเฉพาะเซลล์ไขมัน อาจมีการเติมส่วนประกอบของเลือด (PRP) หรือเซลล์ต้นกำเนิด (Regenerative Cells) ที่คัดมาจากไขมันของผู้ป่วยเองมาผสม เพื่อเพิ่มโอกาสการอยู่รอดของไขมันที่ฉีด

 

 

จากนั้น นำมาฉีดเข้าในตำแหน่งที่ได้กำหนดไว้ ขั้นตอนการฉีดสามารถทำภายใต้ยาชาเฉพาะที่ได้ หากต้องการไขมันปริมาณไม่มาก แต่หากมีความต้องการปริมาณมาก หรือทำการดูดไขมันเพื่อลดสัดส่วนด้วย ก็อาจทำภายใต้การดมยาสลบ

 

 

ผลลัพธ์ที่ได้หลังผ่าตัด

 

ใบหน้าจะดูเต็มและอ่อนเยาว์ขึ้น ส่วนไขมันที่ฉีดเข้าไปจะสลายไปบางส่วน หลังจาก 6 เดือน ก็จะอยู่ตัวและไม่ค่อยสลายอีก ทั้งนี้ไขมันที่ฉีดใหม่จะสมานกับเนื้อเยื่อบริเวณใบหน้า ซึ่งจะดูอ้วนขึ้น หรือยุบลงได้ตามน้ำหนักตัวที่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่มากเท่าร่างกายส่วนอื่น เพราะปริมาณไขมันไม่มากเมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ และเมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดการคล้อยลงของเนื้อเยื่อไขมันได้ ตามอายุที่มากขึ้น หากฉีดบริเวณใบหน้าส่วนล่างปริมาณมาก ก็อาจคล้อยลงเป็นเหนียงได้ โดยส่วนใหญ่แพทย์จึงแนะนำให้ฉีดไขมันบริเวณใบหน้าส่วนบน และส่วนกลางเป็นหลักซึ่งไม่ค่อยมีความคล้อยลงมาก และไม่ฉีดปริมาณที่มากเกินไป เพียงชดเชยส่วนที่ขาดเท่านั้น เพียงแค่นี้ใบหน้าที่ดูโรยรา ก็จะดูเปล่งปลั่งสดใสขึ้นได้มาก

 

 

ผลข้างเคียงหลังผ่าตัด

 

หลังผ่าตัดจะรู้สึกปวดและช้ำบริเวณที่ทำการดูดไขมัน ซึ่งอาการปวดจะดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ และรอยช้ำต่างๆ จะหายไปภายใน 3 สัปดาห์

 

 

การดูแลหลังผ่าตัด

 

ไม่ทำการนวดคลึงบริเวณที่ฉีดไขมัน เพราะจะเพิ่มการสลายของไขมันได้ ส่วนบริเวณที่ทำการดูดไขมันให้ใส่ผ้ารัดไว้ประมาณ 2 เดือน เช่นเดียวกับการดูแลหลังการดูดไขมันทั่วไป

 

 

ฉีดไขมันไปแล้วไม่เรียบทำอย่างไร?

 

อันดับแรกแพทย์จะต้องดูถึงระยะในการฉีดก่อนว่า อยู่ในระยะไหน หากเกิดขึ้นในช่วงแรกๆ อาจเกิดจากผลข้างเคียง คือ อาการบวมหรืออาจเกิดจากการที่มีเลือดคั่งอยู่ อาจแก้ไขได้ด้วยการนวด หรือ การฉีดยาลดพังผืดด้านล่าง สามารถแก้ปัญหาฉีดไปแล้วไม่เรียบได้ แต่หากเกิดจากมีปริมาณไขมันมากเกินไปจริงๆ อาจต้องทำการผ่าตัดแก้ไขเอาไขมันส่วนที่เกินนั้นออกมา ซึ่งถ้าเกิดขึ้นในช่วง 1-3 เดือน นับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญแล้ว จะไม่ฉีดไขมันตื้นจนเกินไป ปัญหานี้ก็จะพบได้น้อยมาก

 

 

ข้อห้ามในการรักษา

 

 ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวมาก ซึ่งอันตรายต่อการผ่าตัด

 

 

 ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันของร่างกาย หรือได้รับเคมีบำบัด หรือฉายแสงรักษาโรคมะเร็ง

 

 

 มีปัญหาโรคเลือด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคทางเนื้อเยื่อที่มีผลให้แผลหายช้า

 

 

 ผู้ที่ผอมมากๆ จนไม่มีตำแหน่งที่จะดูดไขมันได้

 

 

เทคนิคการเติมเต็มใบหน้าด้วยไขมันตัวเอง ถือว่าเป็นเทคนิคที่หลายคนรู้จักกันบ้างแล้ว แต่บางคนอาจรู้เพียงแค่ผิวเผิน เพราะการทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ เต่งตึง ชะลอวัยของผิวนั้น มีหลากหลายวิธี ซึ่งในแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป สำหรับการเติมเต็มใบหน้าด้วยไขมันตัวเองนี้ เป็นมาตรฐานทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาคนไข้ จากโรคบางอย่างหรือจากอุบัติเหตุมาเป็นเวลานานแล้ว และเป็นเทคนิคที่มีผลข้างเคียงน้อย จึงทำให้คนไข้ไว้วางใจได้ส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม การจะศัลยกรรมตกแต่งนั้น หลักการคือให้ดูดีในแบบที่เป็นธรรมชาติ เข้ากับรูปหน้า ไม่มากจนเกินพอดี จนดูประหลาดจนเกินไป ผู้ที่จะทำศัลยกรรมจึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ทราบถึงข้อจำกัด ผลดี ผลเสีย ก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง

 

 

พญ.พูนพิศมัย สุวะโจ

ศัลยแพทย์ตกแต่งและเสริมสร้าง

(Some images used under license from Shutterstock.com.)