Haijai.com


กินให้ดี ก็ได้ประโยชน์ทั้งคุณแม่คุณลูก


 
เปิดอ่าน 2396

กินให้ดี ก็ได้ประโยชน์ทั้งคุณแม่คุณลูก

 

 

เรื่องอาหารนั้นสำคัญมากไม่ว่าใครก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่กำลังจะเป็นคุณแม่นั้น จะต้องทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ และควรงดอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ และมีโทษแก่ร่างกายคุณแม่และทารกในครรภ์ด้วย คุณแม่ตั้งครรภ์ควรที่จะต้องรับประทานอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณสารอาหารที่เพียงพอ และเพื่อส่งต่อไปเลี้ยงทารกในครรภ์ ให้เจริญเติบโตเป็นไปตามพัฒนาตลอดทั้ง 40 สัปดาห์ที่อยู่ในครรภ์

 

 

คุณแม่ตั้งครรภ์จะต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทุกๆ วัน เพื่อไปบำรุงร่างกายให้แข็งแรง สุขภาพดี การคลอดก็จะง่ายขึ้น อีกประการหนึ่งเพื่อบำรุงทารกในครรภ์ให้สมบูรณ์ และเพื่อสร้างน้ำนมให้เพียงพอสำหรับทารกที่เกิดมาในเร็ววันนี้

 

 

ชนิดของอาหารที่ต้องรับประทาน

 

หมู่ที่ 1 โปรตีน ได้แก่  นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง และงานให้สารอาหารโปรตีน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

 

หมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต ได้แก่  ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย

 

หมู่ที่ 3 วิตามิน ได้แก่ พืชผักต่างๆ ให้สารอาหารวิตามินและแร่ธาตุเพื่อเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้ปกติ เช่น ส้ม ฝรั่ง องุ่น แอปเปิ้ล มะนาว แตงกวา ผักชี ต้นหอม

 

หมู่ที่ 4 แร่ธาตุ ได้แก่  ผลไม้ต่างๆ ให้สารอาหารและประโยชน์เหมือนหมู่ที่ 3

 

หมู่ที่ 5 ไขมัน ได้แก่  น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ ให้สารอาหารไขมันเพื่อให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย

 

 

อาหารเพิ่มพัฒนาการของสมอง

 

ธาตุเหล็ก เป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบิน (hemoglobin) ซึ่งเป็นสารในเซลล์เม็ดเลือดแดงทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายรวมทั้งสมองด้วย การขาดธาตุเหล็กจะทำให้มีอาการเหนื่อยง่าย สมาธิลดลง ขาดความกระตือรือร้น สติปัญญาด้านความจำลดลงและเกิดภาวะโลหิตจางได้ ฉะนั้น หลังจากที่ลูกเริ่มทานอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กเป็นประจำ เพื่อความสมบูรณ์ของร่างกายและสติปัญญา

 

 

อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงนั้นมีอยู่หลายชนิด เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม บร็อกโคลี่ และตำลึง เป็นต้น แต่ธาตุเหล็กที่มีอยู่ในเนื้อสัตว์ และตับ จะถูกดูดซึมไปใช้ได้ดีกว่าธาตุเหล็กในไข่แดง นม และพืชผักต่างๆ นอกจากคอยดูแลให้ลูกได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอด้วยเพราะวิตามินซีในผักและผลไม้จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น

 

 

ไอโอดีน เป็นแร่ธาตุอีกชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการทางสมองของทารก โดยปกติร่างกายคนเราต้องการไอโอดีนประมาณ 100 - 150 ไมโครกรัมต่อวัน แต่ในช่วงตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณแม่ต้องการไอโอดีนเพิ่มขึ้นเป็น 200 ไมโครกรัมต่อวัน เนื่องจากมีการขับออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้นและถูกดึงไปให้ทารกในครรภ์ใช้ในการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ขาดไอโอดีนจะทำให้ลูกน้อยในครรภ์ไม่ได้รับไอโอดีนเพียงพอกับความต้องการ ส่งผลให้ลูกที่เกิดมามีความผิดปกติทางสมอง และระบบประสาท มีอาการหูหนวก เป็นใบ้ หรือที่เรียกว่า “โรคเอ๋อ”  ฉะนั้นนอกจากคุณแม่จะต้องรับประทานไอโอดีนให้เพีงพอในช่วงตั้งครรภ์แล้ว เมื่อลูกรับประทานอาหารเสริมได้แล้วคุณแม่ก็ควรดูแลให้ลูกได้รับไอโอดีนอย่างเพียงพอด้วย

 

 

สำหรับแหล่งอาหารที่มีไอโอดีนได้แก่ เกลือที่ได้จากน้ำทะเลหรือเกลือสมุทร เกลือเสริมไอโอดีน อาหารทะเล เช่น ปลาทะเล กุ้ง หอย เป็นต้น และพืชทะเล เช่น สาหร่ายทะเล

 

 

สังกะสี มีบทบาทอย่างมากต่อร่างกายทั้งในด้านการเจริญเติบโต ภูมิคุ้มของร่างกาย การทำงานของอวัยวะต่างๆ การป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งอาหารที่มีสังกะสีมาก ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ อาหารทะเล เช่น ปลา กุ้ง หอย นางรม สำหรับพืชคือ ถั่ว งา และข้าวกล้องนั้นแม้จะมีสังกะสีปริมาณปานกลางถึงสูง แต่การดูดซึมไม่ดีเพราะมีสารไฟเตต (phytate)

 

 

วิตามินบี ใช้ในประบวนการเปลี่ยนแป้งหรือน้ำตาลให้เป็นพลังงาน ทำหน้าที่รักษาการทำงานของระบบประสาท ช่วยทำให้เซลล์ประสาทแข็งแรง กล้ามเนื้อหัวใจทำงานปกติพบมากในเนื้อหมู ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วดำ เป็นต้น

 

 

การขาดวิตามินบี 1 จะทำให้เกิดโรคเหน็บชา และระบบประสาทผิดปกติได้ เช่น ประสาทอักเสบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา ความจำไม่ดี และนอนไม่หลับ รวมทั้งหัวใจวายได้

 

 

วิตามินบี ช่วยในการเจริญเติบโตและกระบวนการใช้ประโยชน์ของไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองได้อย่างเต็มที่ ถ้าขาดวิตามินนี้จะส่งผลให้สมองของเด็กมีขนาดเล็กและไม่พัฒนาเท่าที่ควร แหล่งอาหารที่สามารถพบวิตามินบี 2 ได้มาก คือ นม ไข่แดง เนื้อสัตว์ และตับ

 

 

วิตามินบี มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท ช่วยในการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาท ความจำดี วิตามินบี 6 มีมากในเนื้อสัตว์ ไข่แดง และถั่วเมล็ดแห้ง

 

 

วิตามินบี 12 มีส่วนสำคัญของการแบ่งเซลล์การทำงานของสมองและประสาท การขาดวิตามินนี้จึงส่งผลให้เซลล์สมองมีการทำงานลดลง เชื่องช้าและกระทบต่อการเรียนรู้ รวมทั้งมีอาการซีด  แหล่งที่สามารถพบวิตามินบี 12 ได้มากคือ ตับ เนื้อสัตว์ ไข่ นม

 

 

คุณแม่ตั้งครรภ์ ควรรับประทานอย่างไร ?

 

การรับประทานอาหารของคุณแม่ตั้งครรภ์ ก็ยังทานได้ตามปกติในกรณีที่ไม่แพ้ท้อง  เพิ่มปริมาณอาหารในระยะหลัง 3 เดือนแรก จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือที่เรียกว่าแพ้ท้อง  ระยะนี้ไม่ควรรับประทานอาหารพวกไขมัน เพราะจะทำให้คลื่นไส้อาเจียน ปกติตอนกลางวันอาการคลื่นไส้มักจะหายไป ดังนั้นอาจจะกินอาหารได้ตอนบ่ายๆ ตอนเย็น และก่อนนอน หากกรณีแม่กินอาหารคาวไม่ได้ในระยะแพ้ท้องให้กินน้ำถั่วเหลืองหรือเต้าหู้แทนถ้ากินรมได้ยิ่งดี

 

 

ควรบริโภคให้เหมาะกับน้ำหนักตัวที่เพิ่ม คือ เดือนที่ 4 เพิ่ม 10% เดือนที่ 5 เพิ่ม 18% และเป็น 23% เมื่อคลอด โปรตีนควรเพิ่มมากกว่า 40% ของที่เคยได้รับปกติ คาร์โบไฮเดรตและไขมัน จัดให้พอเหมาะกับแรงงาน และควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย

 

 

วิตามิน เอ บี ซี ด เกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และไอโอดีน เพิ่มขึ้นตามส่วน ควรได้จากอาหาร ยกเว้นแต่ถ้าคุณแม่ไม่สามารถกินอาหารได้ ก็จำเป็นต้องกินวิตามินและเกลือแร่เสริม

 

 

อาหารและสิ่งที่ควรงดเว้น

 

ควรดื่มน้ำเปล่า น้ำผลไม้สดจะดีที่สุด งดเว้นเด็ดขาดในการดื่มสุรา เบียร์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย เป็นผลเสียแก่ร่างกายของคุณแม่และทารกในครรภ์

 

 

น้ำชา กาแฟ ก็ไม่สมควรดื่ม เพราะไม่มีประโยชน์ต่อคุณแม่ ไม่ควรสูบบุหรี่ เพราะจะเกิดโทษทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ พิษของบุหรี่นั้นมีมาก และจะเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของทารกให้ช้าลง เซลล์ต่างๆ จะไม่สมบูรณ์เต็มที่ ทารกคลอดออกมาตัวก็เล็กผิดปกติ

 

 

Expectant Mothers Ask

 

Q : ตอนนี้ดิฉันตั้งท้องย่างเข้าเดือนที่ 8 แล้ว สุขภาพครรภ์ปกติค่ะ แต่จะมีปัญหาเรื่องข้อเท้าบวมมาก เพราะดิฉันต้องเดินทางไปทำงานทุกวัน คุณหมอมีวิธีแนะนำไหมคะ

 

 

A : ควรหาถุงน่องที่หนาๆ และมีความยืดหยุ่นที่แน่นพอที่จะกระชับขา ก็จะทำให้การไหลเวียนของเลือดที่ขาดีขึ้น การบวมก็จะลดลงเอง หรืออาจจะซื้อถุงน่องที่ใช้สำหรับคนที่เป็นเส้นเลือดขอดมาลองใช้ดูก็ได้ แต่ราคาค่อนข้างสูง หลังจากเดินทางถึงที่หมายแล้ว ควรจะนั่งหรือนอนพัก แล้วยกขาทั้งสองข้างขึ้นสูงๆ ก็จะทำให้การไหลเวียนของเลือดกลับดีขึ้น ก็ช่วยลดอาการบวมได้เช่นกัน

(Some images used under license from Shutterstock.com.)