
© 2017 Copyright - Haijai.com
เสน่ห์ของหนู
แม้ข่าวสารการโฆษณาจะชักจูงให้เราหลงเคลิบเคลิ้มได้โดยง่ายว่าความน่าสนใจของผู้คนขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยวุฒิภาวะของคนเป็นพ่อแม่รุ่นใหญ่อย่างเราๆ ท่านๆ ก็น่าจะทำให้ตระหนักได้ดีว่าคุณสมบัติติดตัวที่เป็นนามธรรมต่างหากเล่าที่สำคัญต่อการสร้างเสน่ห์ได้อย่างยั่งยืนแท้จริงยิ่งกว่า
ก็ดีอยู่หรอกนะหากเราจะมีผมสลวยสะอาดปราศจากรังแค มีลมหายใจหอมสดชื่นชวนให้วิ่งตามไปดม ?!? มีผิวพรรณและรักแร้ที่ขาวเกลี้ยงเกลาและไร้ขน (หากเป็นหญิง)
แต่ถ้าเปลือกนอกสวยงามตามโฆษณาเช่นนี้แล้ว ผู้คนยังคงร้องยี้!! แล้วเบือนหน้าหนีหลังคบค้าสมาคมได้ไม่นานคงไม่ดีแน่ๆ เลย ( หมายเหตุ ขอยืนยันว่ามิได้มีเจตนาล้อเลียนนักการเมืองหรือใครๆ ทั้งสิ้น) โดยเฉพาะหากเจ้าคนเปลือกข้างนอกสดใสข้างในต๊ะติ๊งโหน่งนั้นเป็นลูกของเรา
เวลาลูกๆ อยู่ในอารมณ์ “ใครๆ ก็ไม่รักผม” เลียนแบบเพลงดังในอดีตของน้องพลับน่ะ บอกได้เลยว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นั่นแหละที่ปวดใจมากที่สุด
แล้วจะด้วยเคราะห์กรรมของเด็กไทยหรืออย่างไรนะ ทุกวันนี้ เวลาที่ป้าหมอไปเยี่ยมเยียนเด็กๆ ตามโรงเรียนต่างๆ ไม่ว่าจะระดับอนุบาล ประถม มัธยม ทั้งโรงเรียนไทยแท้ โรงเรียนสองภาษา จนกระทั่งถึงโรงเรียนนานาชาติ เด็กๆ มีปัญหาแบบนี้เต็มไปหมดเลยค่ะ
บางคนเข้ากับเพื่อนไม่ได้ บางคนถูกเพื่อนตั้งแง่ปฏิเสธไม่ยอมเล่นด้วย.. หรือเป็นเด็กไม่มีเสน่ห์ปรับตัวให้สังคมยอมรับไม่ได้
แล้วในส่วนของหนูๆ เหล่านี้เองก็อาจมีท่าทีตอบสนองเพื่อนรอบข้างที่แตกต่างกันไปตามธรรมชาตินิสัย ช่วงวัย และความรุนแรงของปัญหา
เด็กบางคนอาจเชิดใส่เพื่อนคืน ทำท่าเสมือนไม่แคร์ บางคนตามง้องอนขอเล่นกับเพื่อนถึงขั้นยอมยกของเล่นหรือขนมให้ ขณะที่บางรายใช้เงินแจกล่อใจเพื่อนก็มีค่ะ แต่บางคนก็ก้าวร้าวด้วยความโกรธหรือน้อยใจจนลามเป็นการทุบตี บางคนไม่ยอมไปโรงเรียน ปิดกั้นตนเองจนไร้สังคม
แต่ร้อยทั้งร้อย หากไม่ดูแลแก้ไขก็หนีไม่พ้นการตกเป็นคนไข้ของป้าหมอและผองเพื่อนจิตแพทย์ในที่สุด
เมื่อเร็วๆ นี้ น้องต้อมตัวโตจากชั้น ป.3 ก็เพิ่งเดินมาบอกกับป้าหมอตรงๆ ด้วยสีหน้าหมองเศร้า
“ผมอยากมีเพื่อนครับ แต่พอผมไปเล่นกับใคร เค้าก็ไม่ยอมเล่นกับผม ”
“โถ! คนดีของป้าหมอ หนูต้องเสียใจมากแน่ๆ เลย ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยเรื่องมันเป็นยังไง ”
“เวลาผมเล่นไล่จับ เพื่อนชอบหาว่าผมผลักเค้า เวลาผมโยนลูกบอลเพื่อนรับไม่ได้แล้วยังหาว่าผมขว้างใส่หัวเค้าอีก ”
โชคดีจังที่คุยไม่นาน ก็พอแกะรอยได้ว่าน้องต้อมร่างใหญ่นี้เป็นเด็กพลังแยะมือไม้หนักไปหน่อย ทำเอาเพื่อนร่วมวัยขยาดหวาดกลัวกันเป็นแถว
ปัญหาจิ๊บๆ แบบนี้ เพียงแค่สอนและซ้อมน้องต้อมให้ลองกะน้ำหนักมือและสัมผัสแต่ละครั้งให้เบาลง แล้วแถมด้วยการสร้างเสน่ห์เสริมอีกนิด น้องต้อมก็กลายเป็นเด็กป๊อปปูล่าร์ของเพื่อนฝูงในที่สุด ก็น้องต้อมพลังเหลือเฟือ เล่นทนเล่นนาน โดยไม่เคยเกี่ยงงอนขนาดนั้น เพื่อนกลุ่มแรกหมดแรงแล้วยังไปเล่นกับกลุ่มสอง กลุ่มสามต่อได้ ต้อมย่อมสามารถเข้าถึงเพื่อนฝูงได้จำนวนมากกว่าใครๆ
ว่าแต่ว่า อย่ามองข้ามบางสิ่งที่สำคัญด้วย ป้าหมอแถมการสร้างเสน่ห์ให้น้องต้อมด้วยไง เอาล่ะ เริ่มสนใจแล้วใช่ไหมค่ะ ว่า การสร้างเสน่ห์เสริมอีกนิดให้น้องต้อมที่ว่านะ คือการทำอะไร
อย่าได้คิดเชียวนะคะว่า มันจะหมายถึงแค่การซื้อขนมมากมายให้เด็กเอาไปแจกเพื่อน เพราะเทคนิคดาดๆ นี้ หากใช้เพียงแค่ผิวเผิน อาจกลับกลายเป็นการสอนให้ลูก “ซื้อ” เพื่อนด้วยวัตถุเงินทอง ซึ่งไม่มีทางได้มิตรภาพแท้จริงตอบกลับมาได้
ก่อนจะสอนให้ลูกแบ่งปันหรือรู้จักการ “ให้” แก่เพื่อนๆ ด้วยการใช้วัตถุนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรเติมเต็มต้นทุนบางอย่างในใจลูกเสียก่อน
เริ่มตั้งแต่การสร้างความมั่นใจและภาคภูมิใจในตนเองแก่หนูน้อยด้วยการมองหาข้อดีแล้วชื่นชมให้เจ้าหนูรู้ตัวและเข้าใจในคุณค่านั้น
เสน่ห์ยั่งยืนของตัวเราเริ่มจากการที่เราเห็นคุณค่าตนเองก่อนค่ะ
“หนูเป็นเด็กพูดเพราะค่ะ น่ารักมากเลย ถ้าเพื่อนๆ คุยกับหนูเค้าต้องชอบแน่ๆ”
นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรพัฒนาต่อไปด้วยการหยิบเอาประเด็นน่าชื่นชมนั้นมาเชื่อมโยงกับวิธีสอนให้ลูกเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือนำไปสู่วิธีการปฏิบัติตัวกับเพื่อนฝูงอย่างเหมาะสมด้วย
“พี่กิ๊กรักหนูมาก เลยใจดีแบ่งขนมให้ หนูดีใจไหมคะ เนี่ยนะ เวลาที่หนูแบ่งขนมให้เพื่อน เค้าน่าจะดีใจแบบหนูนี่แหละ ”
เด็ก ๆ ทั้งหลายในวัยใสวัยซนนี้ ยังมักมีจุดอ่อนในเรื่องความเอาแต่ใจตัวเอง ไม่รู้จักรอคอย และไม่นิยมการเป็นผู้ฟังสักเท่าใดนัก
ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่จะช่วยย้ำถึงจุดละเอียดอ่อนสำคัญเหล่านี้บ้างในชีวิตประจำวัน หนูน้อยจะสามารถเรียนรู้การพัฒนาเสน่ห์ส่วนนี้ของตนได้เป็นอย่างดี
“คุณแม่ดูออกเลยว่าหนูชอบตุ๊กตาสีแดง แต่หนูยอมให้น้องเลือกไปก่อน หนูเป็นพี่ใจดีไม่เอาแต่ใจตัวเอง เก่งมากเลยค่ะ”
“คุณพ่อรู้ครับว่าลูกอยากออกไปเล่นข้างนอก ลูกกำลังโมโห แต่ใจเย็น ๆ นะครับ พอเราทำงานบ้านเสร็จ คุณพ่อจะพาลูกไปเล่นให้สนุกเลย เด็กดีต้องหัดรอและอดทนนะครับ…”
และโปรดสังเกตว่าวิธีสอนนั้นไม่จำเป็นต้องเอาอกเอาใจตั้งท่าชมกันเสมอไปนะคะ การว่ากล่าวตักเตือนก็จำเป็นและได้ประโยชน์ค่ะ
“คุณแม่โกรธมากเลยเวลาที่หนูเอาแต่พูดๆๆๆ ไม่ยอมฟังกันเลย แบบนี้ต้องเหมือนตอนที่แม่เอาแต่พูดๆๆๆ แล้วก็ทำให้หนูกับคุณพ่อรำคาญแน่ๆ เลย พวกเราต้องช่วยกันปรับปรุงแล้วล่ะ ทีนี้เราจะไม่แย่งกันพูดนะ เรามาหัดเป็นคนฟังบ้าง สลับกันพูด สลับกันฟังนะคะ ”
หลายประโยค หลายสถานการณ์เช่นนี้ น่าจะพอเป็นแนวทางให้คุณพ่อคุณแม่นำไปประดิดประดอยและประยุกต์ให้เข้ากับต้นทุนเสน่ห์น่ารักเดิมๆ ในตัวหนูน้อยที่รักได้นะคะ
เห็นไหมคะ ประหยัดและได้ผลดีในการสร้างเสน่ห์แท้จริงที่ยั่งยืนไม่แพ้การใช้แชมพู ยาอม และโรลออน แน่ ๆ ค่ะ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)