Haijai.com


ระวังผลไม้หน้าร้อน ทุเรียน มังคุด ชมพู่ มะม่วง


 
เปิดอ่าน 11322

ผลไม้หน้าร้อนอร่อยเพลินต้องระวังอะไร

 

 

จะว่าไปเมืองไทยเรานี้ดีจริงๆ นะคะ นอกจากอาหารการกินที่มีให้เลือกรับประทานกันอย่างหลากหลายแล้ว ผลตามฤดูกาลก็มีมากมายไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในฤดูร้อนนี้ ผลไม้ยอดฮิตอย่าง ทุเรียน มังคุด มะม่วง ชมพู่ ฯลฯ ต่างก็ทยอยออกสู่ท้องตลาดมากมาย ให้เราได้ลิ้มรสคลายร้อน แต่ว่าอร่อยเพลินจนเกินไปก็ไม่ดีนะคะ ผลไม้แต่ละชนิด มีคุณประโยชน์ที่ดี แต่ถ้ารับประทานมากเกินไป ผลเสียที่ตามมาอาจก่อโรคได้โดยไม่รู้ตัว

 

 

ผลไม้หน้าร้อนกับสรรพคุณที่หลากหลาย

 

 ทุเรียน

 

สุดยอดผลไม้หน้าร้อนที่หลายคนชื่นชอบ ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานค่อนข้างสูง ทั้งปริมาณน้ำตาล และไฟเบอร์ หรือใยอาหาร และยังมีสาระสำคัญหลายตัว ได้แก่ แร่ธาตุในกลุ่มของโพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และแคลเซียม ให้วิตามินสำคัญในกลุ่มวิตามินซีค่อนข้างสูง รวมถึงสารในกลุ่มของ แคโรทีนอยด์ ฟลาโวนอยด์ และโพลิฟีนอล

 

 

ประโยชน์ที่ได้จากการรับประทานทุเรียนก็คือ ด้วยของเนื้อทุเรียนจะมีรสชาติค่อนข้างหวาน เมื่อรับประทานเข้าไปจะส่งผลทำให้ร่างกายมีความอบอุ่นหรือร้อนขึ้น ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการแก้อาการจุกเสียดภายในท้อง อีกทั้งยังบำรุงร่างกาย และมีสรรพคุณในเรื่องของการช่วยให้อาการของโรคผิวหนังดีขึ้น เช่น ถ้าเป็นฝีก็อาจทำให้ฝีแห้งลงได้ รวมทั้งยังมีคุณสมบัติในเรื่องของการขับพยาธิอีกด้วย

 

 

 มังคุด

 

อีกหนึ่งราชาของผลไม้ การได้รับประทานมังคุดในช่วงหน้าร้อน อากาศร้อนๆ กับมังคุดเนื้อขาวๆ ฉ่ำน้ำอมเปรี้ยวอมหวาน แค่คิดก็น้ำลายสอกันแล้วใช่ไหมคะ จะว่าไปมังคุดก็ถือเป็นผลไม้ยอดฮิตที่มีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ทางยา ทั้งส่วนเนื้อไปจนถึงเปลือกเลยทีเดียว

 

 

เนื้อมังคุดมีกากใยค่อนข้างสูง ให้ประโยชน์ในเรื่องของไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายได้ดีขึ้น มีแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส เช่นเดียวกันกับทุเรียน การรับประทานเนื้อมังคุด จะช่วยในเรื่องของการต่อต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิต้านทานภายในร่างกายของเราให้ดีขึ้น ช่วยในเรื่องของการชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอย ช่วยในเรื่องของอารมณ์กินแล้วจะรู้สึกอารมณ์ดี นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของการยับยั้งแบคทีเรียบางชนิด ที่จะมีผลเกี่ยวกับเรื่องของสิว และพบว่าบางครั้งการรับประทานมังคุด จะช่วยควบคุมไม่ให้น้ำตาลในเลือดสูงจนเกินไปได้ด้วย

 

 

 ชมพู่

 

อีกหนึ่งผลไม้ที่ได้รับความนิยม เนื่องจากชมพู่จะมีรสชาติที่ไม่หวานจนเกินไปนัก และเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติให้กากใยค่อนข้างเยอะ คือ เป็นทั้งกากใยที่ละลายในน้ำ กับไม่ละลายในน้ำ ช่วยในเรื่องของการลดภาวะไขมันในเลือด ช่วยลดภาวะการอุดตันของหลอดเลือดต่างๆ ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้การขับถ่ายในลำไส้ดีขึ้น ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้

 

 

นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุในกลุ่มของวิตามินเอ วิตามินซี และไลโคปีน ซึ่งทั้ง 3 ตัว ก็มีคุณประโยชน์ที่เกี่ยวกับเรื่องของผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง และสำหรับผู้ชายที่ชอบรับประทานชมพู่ ก็จะช่วยบำรุงต่อมลูกหมากได้ด้วย

 

 

 มะม่วง

 

มะม่วงเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์ หรือ กากใยค่อนข้างเยอะ ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายได้ดี ให้พลังงานได้ในระดับที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แร่ธาตุที่สำคัญในมะม่วงถ้ารับประทานแบบดิบ คือ วิตามิมนซีที่ค่อนข้างสูง ช่วยในเรื่องของภูมิต้านทานได้ดีขึ้น รวมถึงวิตามินเอ ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสายตา

 

 

ส่วนมะม่วงถ้ารับประทานสุก ปริมาณของวิตามินเอจะสูงขึ้น รวมถึงสาระสำคัญอย่างเบตาแคโรทีนก็จะสูงขึ้นด้วย ส่วนแร่ธาตุสำคัญที่เจอในมะม่วง คือ โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส

 

 

ข้อควรระวังคือปริมาณในการรับประทาน

 

แม้ว่าผลไม้จะอุดมไปด้วยสรรพคุณที่ดี ได้คุณประโยชน์จากวิตามินและแร่ธาตุ แต่ผลไม้ก็มีข้อควรระวัง ในเรื่องของปริมาณในการรับประทานให้เหมาะสม ทุเรียน ถ้ารับประทานเยอะเกินไป จะทำให้มีปัญหาคือร่างกายร้อน เกิดอาการร้อนในและมีปัญหาในเรื่องของการได้รับปริมาณน้ำตาลในปริมาณที่สูงขึ้น  ไม่เหมาะกับคนไข้ที่มีประวัติการป่วยด้วยโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคความดันโลหิตสูง ควรรับประทานให้พอดีๆ เช่น 1-2 พู ต่อวัน

 

 

ข้อห้ามที่สำคัญคือไม่ควรรับประทานทุเรียนคู่กับลำไย เพราะจะยิ่งทำให้ร้อนในมากขึ้น ไม่ควรรับประทานทุเรียนกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากการรับประทานทุเรียนควบคู่กับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะไปส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลสูงเฉียบพลัน ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ นอกจากนี้ยังไปกระตุ้นให้ร่างกายยังผลิตสารแอลดีไฮด์สูงขึ้น ส่งผลทำให้หน้าแดง วิงเวียนศีรษะและเสียชีวิตได้

 

 

มังคุด ถึงแม้ว่าจะหวานน้อย แต่ก็มีปัญหาในเรื่องของปริมาณน้ำตาลได้เหมือนกัน นอกจากนี้มังคุดยังมีสารที่เรียกว่า แทนนิน ที่มีผลต่อการทำงานของตับและไต รวมไปถึงมะม่วงสุกที่ต้องระวัง เพราะผลไม้ที่ยิ่งสุกมาก ปริมาณน้ำตาลก็ยิ่งสูงมากขึ้นตามไปด้วย

 

 

คำแนะนำในการเลือกรับประทานผลไม้

 

1.ควรเลือกรับประทานผลไม้ในช่วงมื้อเช้า ขณะที่ท้องว่าง ซึ่งอาจจะรับประทานก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง หรือหลังจากที่รับประทานอาหารผ่านไปแล้ว 1-2 ชั่วโมง เพราะจะทำให้ดูดซึมวิตามินหรือแร่ธาตุได้อย่างเต็มที่ และร่างกายของเราก็สามารถนำน้ำตาล วิตามิน หรือแร่ธาตุต่างๆ ที่ได้จากผลไม้ ไปช่วยเสริมพลังงาน ทำให้เรากระฉับกระเฉง สดชื่นตลอดทั้งวันได้ดีที่สุด โดยเฉพาะถ้าอาหารมื้อนั้นมีแป้งหรือไขมัน หรือว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์ใหญ่ จะส่งผลถึงกรดในกระเพาะอาหารที่ช่วยเรื่องของการย่อย หากรับประทานผลไม้ตามทันที จะทำให้เกิดระบบการย่อยที่ผิดปกติ และหากผลไม้ตกไปอยู่ในกระเพาะอาหารนานๆ พร้อมกันกับอาหารในมื้อหลัก ผลไม้ก็จะเป็นตัวที่จะไปเร่งปฏิกิริยา ทีเราเรียกว่า Ferment หรือ การหมัก ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร และมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้

 

 

2.ในแต่ละมื้ออาหาร ส่วนใหญ่คนมักจะเน้นอาหารที่ให้พลังงานแคลอรีค่อนข้างสูง เช่น เนื้อสัตว์ ถ้าเราเลือกรับประทานผลไม้ให้มากขึ้น ก็จะทำให้เราได้รับวิตามินแร่ธาตุต่างๆ ที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่นหรือกระฉับกระเฉงดีขึ้นด้วยได้ แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องระมัดระวังในเรื่องของโรคประจำตัว หรือข้อห้ามกับผลไม้บางชนิด

 

 

3.การล้างทำความสะอาดผลไม้ เพราะปัจจุบันวิธีการปลูกและกระบวนการทางเกษตรกรรม อาจจะทำให้มีการปนเปื้อนของยาปราบศัตรูพืช ถ้าเราล้างทำความสะอาดไม่ดี การรับประทานผลไม้ให้ได้วิตามิน ก็อาจจะได้โทษจากสารตกค้างเหล่านี้มาแทน

 

 

นายแพทย์อรรถสิทธิ์ อมรถนอมโชค

แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย

โรงพยาบาลเวชธานี

(Some images used under license from Shutterstock.com.)