© 2017 Copyright - Haijai.com
แก้ปัญหา ขาหนีบดำ
แฟชั่นนุ่งสั้นยังคงความแรงแซงขายาวมาตลอด ยิ่งสาวคนไหนที่ขาเรียวยาวขาวโปร่งมาแต่ไกล ยิ่งใส่สวยยิ่งน่ามองกันใช่ไหมล่ะ แต่นอกจากความสวยของเรียวขาแล้ว ถ้ามีปัญหาก้นดำเป็นวงป้านก็คงดูไม่สวยงามเท่าไรแน่ “ขาหนีบดำ” เป็นปัญหาที่คาราคาซังของพวกคุณหรือเปล่า บางคนอาจจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องแก้ไขอะไรหรอก เพราะไม่ได้อยากเปิดเผยส่วนนั้นให้ใครชมอยู่แล้ว แต่เชื่อเถอะว่าปัญหาของขาหนีบจะเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจให้คนเราได้มิใช่น้อย ไมว่าจะในผู้ชายหรือผู้หญิง
ทำไมขาหนีบถึงดำ
ปัญหาขาหนีบดำมีปัจจัยสำคัญมาจากการเสียดสีตรงบริเวณระหว่างขาของทั้ง 2 ข้าง โดยเฉพาะใครที่มีน้ำหนักมาก หรือมีรูปร่างที่อวบอ้วนคงจะทราบถึงปัญหานี้ได้เป็นอย่างนี้ เพราะการเสียดสีบริเวณขาหนีบในระยะเวลาที่ยาวนานนั้น จะทำให้ผิวหนังบริเวณขาหนีบมีความหนาและหมองคล้ำได้อีก ทั้งโดยธรรมชาติของร่างกายแล้ว บริเวณก้นก็มักจะมีการผลิตเม็ดสีที่มากและเยอะกว่าผิวหนังตรงส่วนอื่นอยู่แล้ว เพราะกระดูกบริเวณนั้นจะมีน้อย เมื่อเทียบแล้วจะมีพื้นที่ในส่วนของกล้ามเนื้อและผิวหนังเยอะกว่า สำคัญคือเป็นส่วนที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ผิวหนังส่วนนั้นเกิดการเสียดสีมาก และทำให้ผิวดำ ซึ่งในบางคนอาจมีลักษณะเป็นวงๆ ตรงบริเวณก้นเลยก็มี นอกจากการเสียดสีจากร่างกายต่อร่างกายแล้ว ยังมีสาเหตุมาจากเสื้อผ้า หรือกางเกงที่สวมใส่อีกต่างหาก เพราะหากมีการสวมใส่กางเกงรัดรูป แนบเนื้อมากเกินไป ก็อาจทำให้ผิวหนังเกิดการเสียดสีระหว่างผ้าจนกลายเป็นสาเหตุของขาหนีบดำด้วยก็ได้
อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ทำให้เกิดขาหนีบดำ ก็ยังสามารถมาจาก กรรมพันธุ์ ฮอร์โมน และอาการภูมิแพ้ที่มีอยู่ในแต่ละคน รวมไปถึงภาวะตั้งครรภ์ก็มีผลต่อการเป็นขาหนีบดำได้ เพราะฮอร์โมนในระหว่างการตั้งครรภ์เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ผิวของคุณแม่บางรายเกิดมีรอยดำคล้ำ หรือมีสีเข้มขึ้นตามต้นคอ ข้อหับ รักแร้ ขาหนีบและหัวนม ซึ่งรอยดำคล้ำเหล่านี้ ปกติแล้วจะหายไปเองภายหลังการคลอดบุตร ดังนั้น คุณแม่จึงไม่ต้องกังวลใจ ไม่ต้องไปทำการขัดถูหรือซื้อยามาทาแต่อย่างใด เมื่อเวลาผ่านไปผิวดำคล้ำก็ค่อยๆ จางลง จนกลับมาสู่ปกติเอง และหากพบว่ารอยดำคล้ำยังไม่หาย ก็สามารถใช้ยาทาลดริ้วรอยได้ แต่จะต้องทำหลังคลอดบุตรไปแล้ว เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอันตรายต่อลูกในครรภ์ด้วย
ปรับขาหนีบขาวด้วยเลเซอร์
การเลเซอร์ขาหนีบเป็นวิธีที่ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีตรงบริเวณนั้นๆ ให้มีการผลิตที่น้อยลง โดยจำนวนครั้งของการทำเลเซอร์จะขึ้นอยู่กับความเข้มของสีผิว ที่เกิดการเสียดสีและระยะเวลาในการเกิด ทั้งนี้การยิงเลเซอร์อาจจะเห็นผลไมชัดเจนมากนัก สำหรับผู้ที่มีผิวคล้ำอยู่แล้ว การทำเลเซอร์จะใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์
• ดูแลตัวเองหลังเลเซอร์ ผู้ป่วยที่เพิ่งผ่านการเลเซอร์ขาหนีบ ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ก่อนประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าสังเกตอาการ หากไม่พบความผิดปกติแพทย์ก็จะให้ยาปฏิชีวนะ ยาแก้อักเสบ และยาแก้ปวด เพื่อช่วยลดอาการปวดบริเวณแผล หลังจากนั้นแพทย์จะอนุญาตให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ แม้ว่าจุดที่ทำเลเซอร์จะเป็นจุดที่อยู่ในร่มผ้าก็ตาม เพราะหลังจากที่ทำเลเซอร์แล้ว จะทำให้บริเวณผิวหนังบางขึ้น จึงไม่ควรมีการกระตุ้นใดๆ ทั้งจากภายในและภายนอก รวมถึงควรให้ความสำคัญเมื่อถึงเวลาแพทย์นัดกลับมายิงเลเซอร์ซ้ำ ควรมาตามนัดหมายเพื่อรักษาตามขั้นตอนต่อไป
หลากวิธีหนีขาหนีบดำ
• ขัดผิว ในส่วนของขั้นตอนในการขัดผิว จะช่วยทำให้ผิวหนังบริเวณนั้น เกิดการผลัดเซลล์ที่ตายแล้วออกไป และกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา โดยมีตัวช่วยจากธรรมชาติที่ไม่ทำร้ายผิวมากมาย เช่น มะขามเปียกผสมมะนาว ขมิ้นผงผสมมะขามเปียกหรือจะเป็นสูตรน้ำผึ้งผสมเปลือกส้ม เป็นต้น ซึ่งวิธีดังกล่าวอาจจะต้องใช้เวลากันสักหน่อย เพราะการสครับหรือขัดผิวนั้น ไม่ใช่วิธีที่สามารถเห็นผลได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรก หรือภายใน 1-2 อาทิตย์แรกที่ทำ อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ไม่ได้ทำให้ผิวกลับมาขาวเนียนได้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์
• ทาครีมบำรุง การทาครีมบำรุงจะอยู่ในส่วนของการเสริมจากการขัดผิว อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า การขัดผิวไม่ได้ช่วยให้ผิวขาวขึ้นภายในขั้นตอนเดียว เพราะยังต้องมีการเพิ่มการบำรุงผิวเข้าช่วย โดยการทาวิตามินอี หรือครีมบำรุงผิวเด็ก (โลชั่นสูตรอ่อนโยนทั่วไป) นอกจากนี้ยังสามารถบำรุงได้จากน้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันคาโมมายด์ หรือน้ำมันดอกลาเวนเดอร์ก็สามารถนำมาใช้ทา เพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอยด่างดำ ลดปัญหาผิวหยาบกร้านได้ เพียงนำมาทาบริเวณขาหนีบเป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยทำให้ขาหนีบขาวขึ้น และยังเป็นการบำรุงผิวไปด้วยในตัว ส่วนระยะเวลาก็จะขึ้นอยู่กับสีผิวของแต่ละคนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ใช้ครีมไวท์เทนนิ่ง (Whitening) ที่มีความรุนแรงจนเกินไป โดยเฉพาะครีมที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ร่วมด้วย เพราะอาจจะทำให้ผิวคล้ำ หรือดำกว่าเดิมได้ อีกทั้งผิวตรงบริเวณดังกล่าวยังมีความบางกว่าผิวหน้าของเราด้วย
• ไม่ควรใส่กางเกงชั้นในตอนนอน เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเสียดสีได้อีกทางหนึ่ง แต่หากจำเป็นต้องใส่ก็ให้เลือกใส่กางเกงชั้นในที่ไม่มีตะเข็บหรือไม่รัดแน่นจนเกินไป
• ลดน้ำหนัก ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าวิธีลดน้ำหนัก ไม่ใช่การปรับให้สีผิวดูขาวขึ้นแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพียงการช่วยลดปัญหาของการเสียดสีระหว่างต้นขาลงเท่านั้น นอกจากนี้ก็ยังช่วยให้ได้สุขภาพที่ดีกลับคืนมาอีกด้วย แต่หลังจากลดน้ำหนักไปแล้ว ปัญหาที่อาจตามมาอีกเล็กน้อยก็คือก้นแตกลาย แต่ก็ถือว่าเป็นปัญหาที่หนักหนาอะไร เพราะสามารถใช้ครีมลดรอยแผลเป็น เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาผิวแตกลายได้เช่นกัน
• ดูแลความสะอาดผิว วิธีดูแลความสะอาดไม่ใช่วิธีที่ไกลตัวแต่อย่างใด ทั้งยังสามารถทำได้ง่ายและสะดวกกว่าวิธีอื่นๆ อีกด้วย เว้นเสียแต่คุณจะไม่ชอบการอาบน้ำเป็นชีวิตจิตใจเท่านั้นแหละ เพราะการทำความสะอาดตัวก็เป็นเพียงการฟอกเพื่อชำระล้างกำจัดสิ่งสกปรกออก ทั้งนี้ควรงดการทาแป้งในส่วนบริเวณต่างๆ ของข้อพับ เพื่อเป็นการช่วยลดการสะสมของสิ่งสกปรก แต่ถ้าต้องการที่จะทาเพื่อความสบายตัว ก็สามารถทำได้ และก็ควรหมั่นทำความสะอาดร่างกายในทุกครั้งที่อาบน้ำด้วย
รักษายังไงก็ไม่หายสักที
สำหรับชายหญิงที่ทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ปัญหาขาหนีบดำแล้ว แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายสักที ควรสังเกตตัวเองไว้ สำหรับชายหญิงที่ทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ปัญหาขาหนีบดำแล้ว แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายสักที ควรสังเกตตัวเองไว้อีกกรณีหนึ่งว่า อาจเสี่ยงเป็นโรคผิวหนังช้าง (Acanthosis Nigricans) หรือไม่ เพราะโรคนี้จะนำไปสู่ปัญหา ขาหนีบดำได้ โดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากขี้ไคล สิ่งสกปรก หรือการเสียดสีใดๆ ทั้งสิ้น ซ้ำยังมีลักษณะเป็นผิวคล้ำหนา คล้ายกำมะหยี่ มักเกิดขึ้นที่บริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ รวมถึงในผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 (โรคเรื้อรังที่พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ และเป็นเบาหวานชนิดที่พบมากที่สุด) เพราะเป็นปัจจัยในการกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังมีการเจริญเติบโตมากกว่าปกติ หรือไม่ เพราะโรคนี้จะนำไปสู่ปัญหาขาหนีบดำได้ โดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากขี้ไคล สิ่งสกปรก หรือการเสียดสีใดๆ ทั้งสิ้น หากพบว่าเป็นโรคนี้ควรปรับด้วยวิธีการเลือกรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลน้อย และควบคุมอาหารจำพวกแป้งให้ได้ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ก็จะช่วยทำให้รอยดำในบริเวณต่างๆ จางลงได้
โรคต่างๆ ที่เกิดใต้ที่ขาหนีบ
• โรคเชื้อราที่ขาหนีบ หรือสังคัง (Trichophytor Rubrum) มักจะพบในผู้ชายวันหนุ่ม ซึ่งมักจะมีการติดเชื้อมาจากบริเวณเล็บและมาเกาตรงบริเวณขาหนีบ หรืออาจมีการใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกัน ตลอดจนความอับชื้นที่เกิดขึ้นตรงบริเวณขาหนีบ โดยจะมีอาการคันเริ่มจะเป็นผื่นแดงขอบนูนมีขุย เหมือนกลากเกิดขึ้นที่ลำตัว ผื่นจะเริ่มจากบริเวณขาหนีบลามไปที่อัณฑะและต้นขา แต่จะไม่ลามไปที่ทวารหรืออวัยวะเพศวิธีรักษาคือ ใช้ผ้าเช็ดตัวแยกระหว่างเช็ดตัวกับบริเวณขาหนีบ เพื่อลดการลามของเชื้อโรคทายารักษา หลีกเลี่ยงการเกาและการใส่กางเกงชั้นในที่หนา ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดความอับชื้น
• โรคแผลกามเรื้อรังที่ขาหนีบ (Granuloma Inguinale) สามารถติดได้จากการมีเพศสัมพันธ์ ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน และเกิดจากความอับชื้น ไม่สะอาดตรงบริเวณขาหนีบจนกลายเป็นเชื้อแบคทีเรียในที่สุด ซึ่งทำให้เกิดแผลบริเวณอวัยวะเพศและบริเวณขาหนีบ โดยจะมีอาการเป็นแผลนูน และต่อมาแผลจะปริแตกจนกลายเป็นแผลเรื้อรัง และลามออกไปเรื่อยๆ อาการแรกเริ่มจะยังไม่รู้สึกเจ็บ แต่หากขาดการดูแลรักษาก็อาจทำให้มีการติดเชื้อเพิ่ม และกลายเป็นหนองขนาดใหญ่ลุกลามต่อไปได้ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งขาหนีบทั้งสองข้างหรือขาวเดียวก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิงอีกด้วย ในส่วนของขั้นตอนการรักษา แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเป็นระยะเวลา 3-12 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดของยาและความรุนแรงของอาการ ซึ่งควรใช้ยาจนกว่าแผลจะดีขึ้น หรือแผลยุบหายไป
• โรคผื่นผิวหนังอักเสบ (Seborrheic Dermatitis) เป็นลักษณะของผื่นแดงปนเหลือง มีสะเก็ดเล็กๆ ขึ้นตามบริเวณผิวหนัง และมีขอบเขตของการกระจายที่ชัดเจน โดยจะมีอาการเป็นๆ หายๆ และบางครั้งอาจมีความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพียงเชื้อราหรือกลาก เพราะมีลักษณะของผื่นที่คล้ายกัน แต่จะสามารถแยกโรคได้จากอาการคัน เพราะหากเป็นผื่นผิวหนังอักเสบ จะรู้สึกคันเป็นบางเวลาเท่านั้น และจะขึ้นเห่อมากในช่วงที่อากาศหนาว สภาวะที่ร่างกายเครียดหรืออดนอน ส่วนมากจะพบในผู้ใหญ่ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทารกในวัยแรกเกิด 6 เดือนแรก และจะพบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยมีสาเหตุมาจากเชื้อรา ซึ่งเริมต้นมาจากความอับชื้นของขาหนีบนั่นเอง วิธีการรักษาก็ควรหลีกเลี่ยงการเกาหรือสัมผัสที่รุนแรงตรงบริเวณขาหนีบ และเข้ารับยารักษาจากแพทย์โดยตรง นอกจากนี้โรคผื่นอักเสบยังสามารถเกิดได้กับบริเวณต่างๆ ของร่างกาย เช่น ใบหน้า ระหว่างคิ้ว รูหู ศีรษะ รักแร้ และบริเวณลำตัว เป็นต้น
รู้ไว้ใช่ว่าขาหนีบ (จะ) ดำ
• ผู้ชายก็มีขาหนีบดำ ปัญหาขาหนีบดำใช่ว่าจะมีแต่ในผู้หญิงเพียงอย่างเดียว ผู้ชายหลายคนก็หนีไม่พ้นขาหนีบดำเช่นกัน และก็มักจะมีการแก้ไขแบบเงียบๆ เพราะอาจเกรงจะโดนตั้งคำถามว่า จะโชว์ขาหนีบไปให้ใครมอง หรือจะใส่ขาสั้นอวดเรียวขาก็คงไม่น่าใช่ แต่ก็อยากให้ทำความเข้าใจสักหน่อยว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ที่อยากจะมีผิวพรรณในส่วนต่างๆ ที่ดูสะอาดและสร้างความมั่นใจในทุกจุดซ่อนเร้นนั่นเอง ซึ่งปัญหาของขาหนีบดำในผู้ชายก็มีสาเหตุไม่ต่างกันกับผู้หญิง แต่ผู้ชายมักจะมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และความละเอียดอ่อนในการใส่ใจทำความสะอาดผิวพรรณที่ไม่เท่าผู้หญิง รวมถึงปัญหาของน้ำหนักตัวที่พบได้มากในผู้ชายอีกด้วย
อย่างไรก็ตามข้อสงสัยที่พบบ่อยจากผู้ชาย ที่ต้องการแก้ปัญหาของขาหนีบดำ คือ วิธีแก้ไขต่างๆ ในผู้หญิงสามารถทำได้ในผู้ชายด้วยใช่หรือไม่ ซึ่งบอกได้เลยว่าสามารถทำได้เหมือนกันทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของครีมบำรุง ขัดผิว หรือเลเซอร์ ผู้ชายทุกคนทำได้เท่าผู้หญิงหมด รวมถึงข้อควรระวังทั้งหลายด้วยเช่นกัน
• คนผอมก็หนีไม่พ้น นอกจากภาวะความอ้วนจะมีผลต่อการสร้างขาหนีบดำแล้ว ในสภาวะรูปร่างของคนผอม หรือแม้แต่คนที่มีรูปร่างสมส่วน ก็สามารถที่จะมีขาหนีบดำได้เช่นกัน เพราะอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า ปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดผิวคล้ำบริเวณขาหนีบ ก็มาจากกรรมพันธุ์ ฮอร์โมน รวมถึงการสวมใส่เสื้อผ้า หรือชั้นในที่ทำให้เกิดการเสียดสีที่มากขึ้นด้วย ซึ่งหมายถึงวิธีลดน้ำหนักตัวเพื่อหวังจะทำให้ขาหนีบขาวขึ้น ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
แม้ว่าขาหนีบจะเป็นมุมที่เล็กๆ ที่ดูจะไม่น่าเป็นจุดสังเกตให้ใครเห็น แต่ก็ถือเป็นจุดที่ช่วยสร้างความมั่นใจได้ หากคุณหรือใครเกิดอยากใส่ชุดว่ายน้ำและกางเกงขาสั้นขึ้นมา เพราะบางคนอยากอวดรูปร่างนะ แต่ติดตรงตำหนินิดหน่อย ที่ทำให้สายตาชื่นชมเปลี่ยนเป็นคำตำหนิติผิวด่างผิวดำไปก็เป็นได้ ฉะนั้นอย่ามองข้ามจุดตำหนิแม้เพียงเล็กน้อย อย่างไรเสีย เรื่องซ่อนเร้นเช่นนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณและความต้องการของแต่ละคน แต่การรักษาความสะอาดเพื่อหลีกเลี่ยงโรคภัยต่างๆ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ผู้ชายและผู้หญิงควรจะทำ เพราะแม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นคนชอบโชว์หวือ แต่การปกป้องร่างกายไม่ให้กลายเป็นโรค คือ สิ่งประเสริฐที่มนุษย์ควรรักษาไว้นะจ้ะ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)