Haijai.com


โรคสองขั้ว โรคอารมณ์แปรปรวน


 
เปิดอ่าน 2407

โรคสองขั้ว อนาคตจะเป็นอย่างไร

 

 

โรคสองขั้ว (Bipolar Disorder) เป็นโรคที่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ ถ้าเข้ารับการรักษาอย่างเข้มงวดและเคร่งครัดตามคำสั่งแพทย์  ญาติไม่ควรรู้สึกหวั่นวิตกจนเกินไป เพราะความหวาดหวั่นนั้น สามารถติดต่อไปสู่ผู้ป่วยได้ และนั้นอาจทำให้ผู้ป่วยอาการทรุดลงมากยิ่งขึ้น

 

 

พูดเรื่องโรคที่คนถามหาอยากเป็นกันมากอีกครั้งหนึ่ง “โรคสองขั้ว” เป็นธรรมเนียมเมื่อสื่อสุขภาพพูดถึงโรคอะไรใหม่ๆ สักอย่าง จะมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญ มาปรึกษาเสมอว่าตนเองเป็นแบบนี้แป๊ะๆ เลย จึงว่าสื่อสุขภาพเองก็มีสองขั้ว คือ ขั้วที่ดีและขั้วที่ไม่ดีเช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรา

 

 

“โรคสองขั้ว” มาจากภาษาอังกฤษว่า “ไบโพลาร์ดิสออเดอร์” (Bipolar Disorder) แปลตรงตัวว่าโรคสองขั้ว ขั้วหนึ่งครึกครื้นเกินไป อีกขั้วหนึ่งซึมเศร้าเกินไป สลับกันไปมา โดยส่วนตัวผมชอบเรียกว่า “โรคอารมณ์แปรปรวน” มากกว่า

 

 

นานมาแล้วมีปฏิทินของสื่อสุขภาพแห่งหนึ่งตีพิมพ์รูปหมีขั้วโลก (Polar Bear) กำลังมีอารมณ์แปรปรวนแล้วเขียนคำบรรยายว่า ไบโพลาร์แบร์ (Bipolar Bear) เป็นรูปที่ดีและสื่อความหมายพร้อมอารมณ์ความรู้สึกที่ดี เห็นแล้วก็ขำ หากไม่ติดปัญหาลิขสิทธิ์ก็อยากตีพิมพ์ให้เห็น

 

 

ที่ว่าให้ความรู้สึกที่ดี เพราะว่าโรคนี้ไม่ร้ายกาจหรือน่ากลัวอะไรมากมาย ความข้อนี้สำคัญ หากญาติรู้สึกไปจนถึงหลงเชื่อว่า โรคนี้น่ากลัวมาก ความหวาดหวั่นขวัญเสียจะรบกวนตนเอง จนกระทั่งไปสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ และความหวาดหวั่นขวัญเสียนั้นเอง ที่สามารถติดต่อ (contagious) ไปสู่ผู้ป่วยได้ นั่นจะทำให้ผู้ป่วยอาการทรุดลงหนักยิ่งขึ้น หากใครกำลังมีญาติหรือลูกหลานเป็นโรคสองขั้ว ผมจะวาดภาพอนาคตให้ฟัง

 

 

ถ้าเขายอมรับการรักษา เขาจะดีขึ้นใน 14 วัน อาจจะมิได้ดีมาก แต่จะดีขึ้นแน่นอน ทั้งนี้มีเงื่อนไข 2-3 ข้อ คือ ต้องพบจิตแพทย์ ต้องได้ยาที่ถูกต้องในขนาดที่สูงพอ และต้องกินยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยไม่มีเงื่อนไข หาก 14 วันเขาดีขึ้น และท่านเองพอใจเท่านี้ ก็ขอให้ติดตามการรักษาและนัดหมายอย่างเคร่งครัด ผู้ป่วยจะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเกือบจะเป็นปกติใน 90 วัน และหากท่านยังไม่ชะล่าใจหยุดยาเสียก่อน หรือใจร้อนเปลี่ยนหมดเสียก่อน ผู้ป่วยจะดีขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นปกติในเวลา 6 เดือน

 

 

แน่นอนว่าโรคทุกโรคย่อมมีข้อยกเว้นสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนักมากและรุนแรงมาก แต่นั่นเป็นส่วนน้อยเพียงร้อยละ 10-20 ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (majority) จะตอบสนองยาอย่างดีตามไทม์ไลน์ (timeline) ที่เล่าให้ฟัง นั่นคือทุกอย่างจะดีขึ้นเป็นปกติ หรือเกือบเป็นปกติใน 6 เดือน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่ามา นั่นคือรักษาอย่างเข้มงวดและเคร่งครัดตามคำสั่งแพทย์

 

 

หลังจากดีขึ้นแล้วผู้ป่วยต้องกินยาไปอีกอย่างน้อย 2 ปี ถึงมีสิทธิหยุดยาได้ หากหยุดยาแล้วกลับเป็นซ้ำอีกรอบที่สอง การรักษารอบที่สองจิตแพทย์ส่วนใหญ่จะขอให้กินยาครบ 5 ปี เป็นอย่างน้อย หากยังไม่ครบ 5 ปี แล้วท่านยังจะเสี่ยงหยุดยาก็เสี่ยงได้ แต่ถ้ากลับเป็นซ้ำรอบที่สามคำตอบชัดเจนว่า ท่านต้องกินยาตลอดชีวิ อย่างไรก็ตามแม้ว่าต้องกินยาตลอดชีวิต ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป ทำงานได้ แต่งงานได้ มีลูกหลานได้ และเดินเหินในสังคมได้ โดยไม่มีใครรู้ว่าท่านเป็นอะไร ท่านเคยพบจิตแพทย์ หรือท่านกำลังกินยาอะไร หากท่านไม่ปากโป้งเอง

 

 

ทั้งหมดที่เขียนมานี้ผมตั้งใจเลือกคำและเขียนทุกประโยคด้วยความระมัดระวัง หากใครเชื่อฟังก็จะพบผลลัพธ์ที่ดี แต่การเชื่อฟังอย่างเชื่องๆ มิใช่ของง่าย เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะไม่เชื่อ ดื้อ และท้าทายอยู่เสมอ ดังนั้นจึงมีข้อแม้ในแต่ละคำหรือประโยค ที่ต้องใช้เวลาอธิบายกันพอสมควร

 

 

นี่คือภาพในอนาคตที่ผู้ป่วยเองควรรู้ และญาติควรรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเป็นพ่อแม่ที่มีลูกถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคสองขั้ว จะได้เบาใจลงบ้าง และขอให้เชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี การไม่รู้อนาคตเป็นเรื่องน่ากลัว และน่ากลุ้มใจเป็นที่สุดสำหรับผู้ป่วยทุกโรค และญาติทุกคน โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อแม่อย่างที่ว่า ดังนั้น ข้อเขียนวันนี้จึงตั้งใจวาดอนาคตให้ฟังเพียงอย่างเดียว เนื้อที่ก็หมดเสียแล้ว ตอนต่อไปมาพูดกันเรื่องข้อแม้และเงื่อนไข

 

 

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

จิตแพทย์

(Some images used under license from Shutterstock.com.)