© 2017 Copyright - Haijai.com
ยาทาแก้ผื่นคัน
อาการผื่นคันเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากลมพิษ แพ้สารที่สัมผัส โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง ติดเชื้อรา เชื้อเริม ผดผื่นคันจารูเหงื่ออุดตัน ฯลฯ ยาทาแก้ผื่นคัน จึงเป็นที่เรียกหาตัวหนึ่งในร้านยา ซึ่งยาประเภทนี้มีให้เลือกมากมายหลายรูปแบบ ทั้งยาครีม ยาขี้ผึ้ง ยาน้ำโลชั่น และยาผงสำหรับใช้ภายนอก แต่ละประเภทมีหลักการใช้ทั้งเหมือนและแตกต่างกันไป ผู้ใช้จึงควรทำความเข้าใจเพื่อให้เลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสม
ยาทาแก้ผื่นคันมีอะไรบ้าง
ยาทาแก้ผื่นคันมีหลายรูปแบบ ทั้งยาครีม ยาขี้ผึ้ง ยาน้ำโลชั่น และยาผงสำหรับใช้ภายนอก มีตัวยาสำคัญหลายชนิด ได้แก่
• ยาทาสเตียรอยด์ มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่ผิวหนัง และช่วยบรรเทาอาการคัน ยากลุ่มนี้มีความแตกต่างกัน ตามความแรงของยา ซึ่งความแรงของยาทาสเตียรอยด์แบ่งได้ 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ยาที่มีความแรงสูง ได้แก่ augmented betamethasone dipropionate 0.05%, clobetasol propionate 0.5% และ desoximetasone 0.05% ยาที่มีความแรงปานกลาง ได้แก่ mometasone furoate 0.1%, hydrocortisone valerate 0.2% และ triamcinolone acetonide 0.1% และกลุ่มสุดท้าย ยาที่มีความแรงต่ำ ได้แก่ fluocinolone 0.01%, hydrocortisone butyrate 0.1% และ hydrocortisone 1% และ 2.5%
หลักในการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย ถ้าเป็นเด็กและผู้สูงอายุควรใช้ยาที่มีความแรงต่ำ ตำแหน่งที่เป็นและต้องการทายาก็มีความสำคัญ ถ้าเป็นบริเวณผิวบาง เช่น ใบหน้า รักแร้ ข้อพับ บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ ให้ใช้ยาที่มีความแรงต่ำ แต่ถ้าเป็นผื่นแห้งหนา ให้ใช้ยาที่มีความแรงสูง และควรเลือกยาทาชนิดที่เป็นขี้ผึ้งหรือครีม กรณีที่เป็นผื่นบริเวณผมหรือขน ควรเลือกยาทาที่เป็นเจลหรือโลชั่นใส ไม่ว่าจะใช้ยาความแรงเท่าใด ก็ควรหยุดทายา เมื่ออาการหายไป
• ยาทาสเตียรอยด์ชนิดผสมกับตัวยาอื่น อาจผสมเพื่อช่วยให้ฤทธิ์แรงขึ้น เช่น สเตียรอยด์ผสมกับกรดซาลิกไซลิก (salicylic acid) ยากลุ่มนี้เหมาะใช้ลอกผิวหนังที่มีสะเก็ดหนาและแห้งแข็ง ยาสเตียรอยด์ผสมกับยูเรีย (urea) ยูเรียจะช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น และเพิ่มการดูดซึมของยาทาสเตียรอยด์ ยากลุ่มนี้เหมาะกับผิวที่แห้งหนา เป็นต้น
• ยาทาสเตียรอยด์ชนิดผสมกับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ ยาสเตียรอยด์ผสมกับนีโอมัยซิน (neomycin) ยาสเตียรอยด์ผสมกับเจนตามัยซิน (gentamicin) ฯลฯ ยากลุ่มนี้เหมาะที่จะใช้กับผื่นแพ้ที่มีการติดเชื้อ แบคทีเรียแทรกซ้อน
• ยาทาสเตียรอยด์ชนิดผสมกับยาฆ่าเชื้อรา ได้แก่ ยาสเตียรอยด์ผสมกับโคลไตราโซล ยากลุ่มนี้เหมาะกับการติดเชื้อรารุนแรงที่ผิวหนัง และควรใช้ระยะเวลาสั้นๆ เพื่อลดอาการคันในระยะแรก เมื่ออาการทุเลาลงแล้ว ควรเปลี่ยนเป็นยาต้านเชื้อราที่ไม่ผสมสเตียรอยด์
• ยาคาลาไมน์ ประกอบด้วยตัวยาคาลาไมน์และตัวยาซิงค์ออกไซด์ มีฤทธิ์เป็นยาฝาดสมานและป้องกันผิว ใช้บรรเทาอาการคันเนื่องจากผด ผื่นคัน และลมพิษ
• ยาทาเชื้อรา มีทั้งยาที่ออกฤทธิ์แคบ เฉพาะเชื้อ Dermatophytosis (กลาก) ได้แก่ ยากลุ่มไทโอคาร์บาเมต (thiocarbamates) และยาที่ออกฤทธิ์กว้าง ใช้ได้ทั้งเชื้อ Dermatophytosis เชื้อ Candida albicans และเชื้อ Pityrosporum furfur (เกลื้อน) ได้แก่ ยากลุ่มอะลิลเอมีนส์ (allylamine) ยากลุ่ม azoles ได้แก่ ยาโคลไตรมาโซล (1% clotrimazole cream) ยาไมโคนาโซล (2% miconazole cream) ยาคีโตโคนาโซล (3% ketoconazole cream) ยาอีโคนาโซล (1% econazole cream) ฯลฯ
• ยาทาเริม ยาที่ใช้ทั่วไปคือ ยาอะซัยโคลเวียครีม (5% acyclovir cream) และยาสมุนไพร 5% พญายอครีม ซึ่งยาทั้ง 2 ชนิดนี้ มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส และฆ่าเชื้อไวรัสเริมได้ การใช้ยาดังกล่าว ควรใช้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเป็น จึงจะให้ผลดี ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
ข้อแนะนำการใช้ยาทาแก้ผื่นคัน
• ยาทาสเตียรอยด์ประเภทต่างๆ และยาทาเชื้อราให้ทาบางๆ วันละ 1-2 ครั้งหลังอาบน้ำ และห้ามทาบริเวณใกล้ตา สำหรับยาทาเริม ให้ทาบางๆ วันละ 5 ครั้ง ทาห่างกันทุกๆ 3-4 ชั่วโมง สำหรับยาทาคาลาไมน์ ให้ทาบางๆ บริเวณที่คัน วันละ 3-4 ครั้ง
• ยาทาสเตียรอยด์ ควรทาเป็นหย่อมๆ ตรงบริเวณที่แพ้คัน โดยทั่วไปไม่ควรทาติดต่อกันเกิน 7 วัน เมื่ออาการดีขึ้น ควรลดการใช้ยาลง
• ยาทาเชื้อรา หลังจากทายาไปประมาณ 5-7 วัน ผื่นอาจจะยุบและหายคัน ไม่ควรหยุดทายาเชื้อรา เนื่องจากเชื้อราอาจยังตายไม่หมด ควรทายาต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก ถ้าเป็นที่ผิวหนังต้องใช้ยานาน 4-6 สัปดาห์ ถ้าเป็นที่เล็บมือ นิ้วมือ จะต้องใช้เวลารักษานาน 4-6 เดือน เนื่องจากเล็บจะยาวออกมาช้ามาก เป็นต้น
• ห้ามใช้ยาครีมสเตียรอยด์ทาทั่วตัว หรือทาบริเวณกว้าง เพราะจะเพิ่มการดูดซึมยาสเตียรอยด์เข้าสู่กระแสเลือดเพิ่มขึ้น อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น เกิดโรค Cushing’s syndrome
การใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดผลเสียเฉพาะที่ได้ เช่น ถ้าทายาบริเวณหน้า หน้าอก หลัง ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดตุ่มหนองหรือสิว หรือถ้าทายาสเตียรอยด์ที่ความแรงสูง หรือปานกลางติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้สีผิวบริเวณที่ทาเป็นด่างขาวได้ หรือถ้าทายาสเตียรอยด์ที่ความแรงสูง หรือปานกลาง ณ บริเวณข้อพับ รักแร้ ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดรอยแตกของผิวที่ทาได้ หากมีผื่นผิวหนังที่มีอาการคันและสงสัยว่าจะติดเชื้อรา ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง
ภญ.ผ่องศรี พัววรานุเคราะห์
(Some images used under license from Shutterstock.com.)