© 2017 Copyright - Haijai.com
เมื่อลูกถูกรังแกจากโรงเรียน Kids Bullying
ชีวิตในโรงเรียนของเด็กๆ คือส่วนที่นอกเหนือจากการรับรู้ ของพ่อแม่ผู้ปกครองเพราะหลังจากที่ลูกก้าวเท้าลงจากรถที่คุณไปส่งเขาทุกวันที่โรงเรียน นั่นถือว่าคุณไม่สามารถจะรู้ได้ทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของลูกในวันนั้น ในรั้วโรงเรียน การพูดคุยกับคุณครูประจำชั้นหรือการสอบถามจากลูกโดยตรงนั้น อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คุณรู้ได้ว่าปัญหาที่แท้จริงของลูกคืออะไร
Behind the class เหตุเกิดหลังห้องเรียน
ชีวิตในรั้วโรงเรียน สิ่งแวดล้อมที่สำคัญสำหรับเด็กๆ คือกลุ่มเพื่อน เป็นแบบฝึกหัดเบื้องต้นสำหรับการปรับตัวให้อยู่ได้ในสังคม เด็กส่วนมากไม่มีปัญหาในการปรับตัว แต่ก็มีบ้างบางส่วนที่ปรับตัวไม่ได้ ถูกรังแก ระราน ล้อเลียน หรือหนักขึ้นมาหน่อยก็ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย นอกจากจะสร้างความอับอายแล้ว ยังทำให้เกิดความเจ็บช้ำทั้งกายและใจ การดูแลของครูในโรงเรียนนั้นช่วยได้ แต่จะว่ากันตามความเป็นจริงแล้วครูไม่ได้อยู่กับนักเรียนตลอดเวลา และเวลาลับตาครูนี่เองค่ะ ปฏิบัติการ Bullying ของขาใหญ่ในโรงเรียนก็อาจเริ่มขึ้น เด็กส่วนใหญ่จะถูกรังแกเมื่อลับตาครู และส่วนใหญ่อีกเหมือนกันโดนขู่ว่า ถ้าฟ้องคุณครู จะเจอหนักยิ่งกว่าเดิม
ขาใหญ่ในโรงเรียน Gang of School
การถูกล้อเลียนหรือเย้าแหย่ในกลุ่มนั้น บางครั้งเกิดขึ้นมาเพราะความสนุกสนานและอาจจะถือเป็นกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ของเด็กๆ แต่บางครั้งการการหยอกล้อด้วยการรังแกหรือเย้าแหย่นั้นเด็กบางคนอ่อนแอเกินกว่าที่จะทนรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ สาเหตุของเด็กที่ชอบล้อเลียนหรือรังแกเพื่อนนั้นเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มเด็กที่ต้องการเอาชนะเห็นเด็กอีกคนที่ดูแล้วมีความอ่อนแอทั้งทางร่างกายและอารมณ์ หรือบางครั้งในเด็กบางคนเลือกที่จะล้อหรือทำร้ายเพื่อนเพียงเพราะต้องการการยอมรับจากเพื่อนกลุ่มใหญ่ หรือต้องการมีความสำคัญและเป็นที่สนใจของเพื่อนๆ
เมื่อลูกถูกรังแกจากโรงเรียน Signs of Bullying
เมื่อสังเกตเห็นพฤติกรรรมบางอย่างของลูกที่เปลี่ยนไป เช่น ลูกบ่นไม่อยากไปโรงเรียน เด็กบางคนเงียบกว่านั้น คุณจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อสังเกตเห็นรอยเขียวช้ำตามตัวของลูก อาการบาดเจ็บทางร่างกายแสดงให้เห็นได้ชัดเจน แต่ความเครียดและความบอบช้ำทางจิตใจคุณไม่มีทางจะรู้ได้เลย หากคุณรู้สึกว่าลูกอาจเจอบางอย่างที่ว่านั้นภายในโรงเรียน ให้ลองหาทางคุยกับลูกด้วยวิธีที่กลมกลืนและไม่ทำให้ลูกรู้สึกแย่ รวมทั้งคุยกับครูและสังเกตพฤติกรรมของลูกให้ดี ที่สำคัญเมื่อคุณรู้แล้วว่าลูกโดนรังแกจากเพื่อนที่โรงเรียน อย่าแสดงความรู้สึกในด้านลบให้ลูกเห็นเพราะเด็กๆ จะกลัวและอายเมื่อรู้ว่าเขาทำให้พ่อแม่ผิดหวัง
คุณจะช่วยลูกได้อย่างไรบ้าง Help Your Kid
เมื่อคุณรู้แน่ชัดแล้วว่าลูกโดนกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียนรังแก อันดับแรกที่คุณต้องทำคือคุยกับลูกก่อน ให้กำลังใจ และสร้างความมั่นใจให้กับลูกอีกครั้ง ถ้าได้เล็งเห็นแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น คุณครูควรจะต้องรับรู้และมีส่วนรับผิดชอบ คุณควรเข้าไปคุยกับคุณครูให้ช่วยดูแล หรือช่วยให้การรังแกนั้นเกิดขึ้นน้อยลง แต่สุภาษิตไทยว่าเอาไว้ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ประกอบกับไม่มีใครที่จะคอยระแวดระวังให้ลูกได้ตลอดเวลา คุณต้องสอนลูกให้ระวังตัวก่อนดังนี้
• มีเพื่อนสนิทอย่างน้อยหนึ่งคน การมีเพื่อนแม้จะไม่ใช่กลุ่มใหญ่แต่อย่างน้อยๆ เวลาที่เกิดอะไรขึ้นกับลูกนั้น เพื่อนอีกคนสามารถที่จะวิ่งไปบอกคุณครูได้ พยายามให้ลูกหลีกเลี่ยงอยู่คนเดียวในที่ที่อันตรายจะเสี่ยงต่อการโดนรังแก เช่น ในห้องน้ำ
• อย่าทำให้คนที่รังแกรู้ว่ากำลังโกรธ ความสนุกของเด็กที่ชอบรังแกคนอื่นอยู่ที่การที่ได้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นโกรธหรืออาย เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่ลูกคุณแสดงอารมณ์ในด้านลบต่อการกระทำของอีกฝ่ายออกมา เท่ากับว่าเป็นการกระตุ้นให้เขาได้ใจและทำซ้ำแล้วซ้ำอีก สอนลูกให้นิ่งและควบคุมอารมณ์ไว้ สิ่งสำคัญคือ ความกล้าหาญ แล้วเดินจากไป และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
• บอกให้คนอื่นได้รู้ เมื่อสถานการณ์เข้าขั้นย่ำแย่เกินกว่าที่จะรับมือไหว สิ่งสำคัญที่ควรจะทำคือการบอกให้ผู้ใหญ่ได้รับรู้ เช่นครู ผู้ใหญ่ในโรงเรียน หรือเพื่อนสนิท แม้อาจจะไม่ได้รับการช่วยเหลือทั้งหมด แต่อย่างน้อยๆ ถ้าลูกทำอย่างนั้นก็น่าจะช่วยให้สบายใจขึ้น
ขนาดเด็กโตก็ยังรังแกกันเลย
จากการสำรวจนักเรียนไทยในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในเขตชนบทของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 1,387 คน จาก 6 จังหวัดของ โครงการศึกษาพฤติกรรมการรังแกกันในโรงเรียนโดยสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล (เนื่องจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพิ่งผ่านการเปลี่ยนโรงเรียนมาไม่นาน กำลังอยู่ในช่วงเรียนรู้และปรับตัว จึงมีโอกาสที่จะถูกรังแกได้มากกว่า) แบ่งตามเพศและลำดับการรังแกกันแล้ว พบว่า
นักเรียนหญิง
• ลำดับ 1 ใช้คำหยาบคายเรียก ร้อยละ 29.3
• ลำดับ 2 ตี หรือ ตบหัวแรงๆ ร้อยละ 26.7
• ลำดับ 3 ล้อเลียน หัวเราะเยาะ ร้อยละ 19.5
• ลำดับ 4 ด่าว่า ตะคอก ร้อยละ 15.7
• ลำดับ 5 ตามตอแยให้รำคาญ ร้อยละ 15.3
นักเรียนชาย
• ลำดับ 1 ตี หรือ ตบหัวแรงๆ ร้อยละ 33.9
• ลำดับ 2 ใช้คำหยาบคายเรียก ร้อยละ 31.3
• ลำดับ 3 ล้อเลียนหัวเราะเยาะ ร้อยละ 22.6
• ลำดับ 4 เตะ ต่อย ชก ตบ ร้อยละ 20.4
• ลำดับ 5 ตามตอแยให้รำคาญ ร้อยละ 13. 9
(Some images used under license from Shutterstock.com.)