
© 2017 Copyright - Haijai.com
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คืออะไร
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ มักจะเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงนั้นสั้นกว่าของผู้ชาย และรูปเปิดของท่อปัสสาวะนั้น ก็อยู่ใกล้ทวารหนัก จึงทำให้เชื้อโรคสามารถเข้าไปในท่อปัสสาวะ จนทำให้เกิดอาการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ การมีเพศสัมพันธ์ ก็อาจจะทำให้เชื้อโรคเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะได้ เมื่อเชื้อเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะและแบ่งตัวมากกว่าการถูกขับออกไป จึงทำให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้
อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ได้แก่
• ปวดหน่วงๆ บริเวณท้องน้อย
• ปัสสาวะบ่อย
• ปัสสาวะไม่สุด
• ปวดท้องน้อยเวลาปัสสาวะ
• กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้
• ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น
• ปัสสาวะมีเลือดปนและมีสีขุ่นๆ
ผู้หญิงที่ดื่มนมเปรี้ยว โยเกิร์ต และน้ำผลไม้อยู่เสมอ มีโอกาสที่จะเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้น้อยกว่าคนอื่นๆ ถึง 40%
ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
• ทำความสะอาดหลังถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะจากด้านหลังมาหน้า ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เชื้อโรค จากทวารหนักเข้าสู่ท่อปัสสาวะได้โดยง่าย
• การมีเพศสัมพันธ์กับอวัยวะเพศหญิง หรืออวัยวะเพศชายที่ไม่สะอาด
• การคุมกำเนิด โดยใช้สารฆ่าอสุจิอย่างไม่ถูกสุขอนามัย
• การตีบตันของท่อปัสสาวะ จากต่อมลูกหมากโตหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก จนทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี เนื่องจากมีปัสสาวะหมักหมม
• ความอับชื้น บริเวณอวัยวะเพศ จากการสวมกางเกงคับแน่นเกินไป หรือไม่ค่อยเปลี่ยนผ้าอนามัย จนทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี
• การสอดท่อสวนปัสสาวะ หรือการสอดเครื่องมือแพทย์เข้าไปในท่อปัสสาวะ และทิ้งไว้นานจนติดเชื้อโรค
การป้องกันการเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
• หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา เบียร์ น้ำอัดลม อาหารรสจัด และอาหารที่เป็นกรด เช่น มะเขือเทศ น้ำมะนาว น้ำสม เป็นต้น
• ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อป้องกันการสะสมเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะ
• เมื่อปวดปัสสาวะ ให้รีบไปปัสสาวะอย่ากลั้นปัสสาวะ เป็นเวลานานๆ
• ให้ปัสสาวะหลังมีเพศสัมพันธ์
• ทำความสะอาดมือให้เรียบร้อย ก่อนและหลังเปลี่ยนผ้าอนามัย
• เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ อย่าหมักหมมจนเกิดเชื้อโรค
• อย่านั่งถ่ายปัสสาวะบนที่นั่งที่เปียกชื้น
• หลังจากปัสสาวะ หรืออุจจาระ ให้เช็ดจากช่องคลอดไปทางทวาร เพื่อลดการปนเปื้อนเชื้อโรค
• ใช้สบู่เฉพาะที่ อย่าใช้สบู่ที่ระคายเคืองต่ออวัยวะเพศ
• ในผู้ที่มีแนวโน้ม เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรถ่ายปัสสาวะทุกครั้ง หลังจากมีเพศสัมพันธ์ เพื่อชะล้างเชื้อโรคที่อาจเข้าไปในท่อปัสสาวะ
• ทำความสะอาดมือ และอวัยวะเพศทุกๆ ครั้ง ทั้งก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์
• ใช้ชุดชั้นในที่ทำด้วยผ้าฝ้าย และไม่คับแน่นจนเกินไป หากรู้สึกว่าเหนอะหนะ ให้เปลี่ยนชุดชั้นในทันที
นอกจากนี้ ได้มีการค้นพบว่าผู้หญิงที่ดื่มนมเปรี้ยว โยเกิร์ต และน้ำผลไม้อยู่เสมอนั้น มีโอกาสที่จะเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้น้อยกว่าคนอื่นๆ ถึง 40% โดยเฉพาะน้ำจากลูกเบอร์รี่ต่างๆ หรือแม้กระทั่งรับประทานชีสอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็ทำให้โอกาสของการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบลดลงถึงเกือบ 80%
ในทวีปยุโรป มีการซื้อแคปซูลที่มียีสต์ ที่เป็นประโยชน์มารับประทาน เชื่อกันว่ามันทำให้เกิดแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้น และลดแบคทีเรียตัวร้ายจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ส่วนการที่น้ำผลไม้บางชนิด เช่น น้ำแครนเบอร์รี่ (cranberries juice) ช่วยลดอัตราการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบนั้น นักวิจัยเชื่อว่า เนื่องจากมันมีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ที่คอยทำลายเชื้อแบคทีเรียนั่นเอง
การรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ตรวจปัสสาวะ เพื่อวินิจฉัยโรค และแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายคลึงกันออกไป เช่น เบาหวาน นิ่วในทางเดินปัสสาวะ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ฯลฯ
สำหรับการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบนั้น ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ และต่อเนื่องสม่ำเสมอ เนื่องจากอาจจะเกิดโรคแทรกซ้อนได้
ยาที่นิยมใช้ได้แก่
• nitrofurantion
• sulfa drugs (sulfonamides)
• amoxicillin
• cephalosporins
• trimethoprim – sulfamethoxazole
• doxycycline
นอกจากนี้ แพทย์ยังต้องหาโรคที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะอีกด้วย โดยเฉพาะในผู้ชาย เพื่อรักษาต้นเหตุ เช่น ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น ขณะที่มีอาการปัสสาวะขัด หรือ ปวดหน่วงให้ดื่มน้ำมากๆ ถ้าปวดมากให้ใช้ยาแก้ปวด และให้ใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น โคไตรม๊อกซาโซล 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง อะม็อกซีซิลลิน 500 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง หรือ นอร์ฟล็อกซาซิน 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 3 วัน แต่หากไม่ดีขึ้น หรือเป็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ควรไปปรึกษาแพทย์ และถ้าจำเป็นอาจต้องใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (cystoscope) แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)