© 2017 Copyright - Haijai.com
เทคนิคยกกระชับแบบหน้าง่ายๆ
ผมได้พูดหลายครั้งเกี่ยวกับสาเหตุของการหย่อนคล้อยของใบหน้า ว่ามีสาเหตุหลักๆ มาจากากรสูญเสียปริมาตรของเนื้อเยื่อใต้ผิว ซึ่งรวมถึงการบางตัวลงของกระดูกโครงหน้า หรือที่เรียกรวมๆ ว่า Volume Loss ผมมีเทคนิคง่ายๆ เพื่อใช้รักษาแก้ปัญหาหย่อนคล้อยอย่างได้ผลทันใจ และไม่เจ็บตัวมาก มาฝากท่านผู้อ่าน ทั้งแพทย์ และตัวคนไข้ครับ
หลักการและเหตุผล
เวลาแก้ปัญหาการหย่อนคล้อย ทั้งแพทย์และตัวคนไข้ มักมองว่าการรักษาการหย่อนคล้อยควรเริ่มที่การดึงผิวให้ตึง เพื่อยกกระชับ ไม่ว่าจะด้วยการผ่าตัดดึงหน้า หรือการร้อยไหม ซึ่งเป็นการรักษาที่ปลายเหตุหรือยิ่งการรักษาด้วยเครื่องมือต่างๆ ทั้งเลเซอร์ คลื่นวิทยุ หรืออัลตราซาวด์ก็ยิ่งไม่ได้ผลเพราะกระตุ้นผิวได้ไม่ลึกพอ หรืออย่างเก่งก็ลงได้แค่ชั้นที่เรียกว่า SMAS ซึ่งก็ยังถือว่าตื้นเกินไป อีกเหตุผลก็คือชั้น SMAS เป็นชั้นเนื้อเยื่อเหนียวๆ มันไม่สามารถถูกกระตุ้นให้หดตัว หรือสร้างเนื้อเยื่อใหม่ได้ แต่สามารถเย็บดึงหน้าได้ เพราะมันเหนียวไม่ยืดหยุ่นเหมือนผิวหนังเรา การผ่าตัดดึงหน้าโดยการเย็บผูกที่ชั้น SMAS จึงได้ผลและอยู่นาน แต่การร้อยไหมชนิดที่มีแง่งเกี่ยวหรือกรวย เป็นการเกี่ยวยึดที่ผิวหนังเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ผิวหนังยืดออก ทำให้การรักษาไม่ได้ผล ในขณะที่การร้อยไหมเส้นเล็กที่ไม่มีแง่ง ออกฤทธิ์โดยกระตุ้นผิว ก็จะค่อยๆ กระตุ้นผิวให้หดตัวเพื่อหวังผลยกกระชับ แต่ทุกวิธีที่กล่าวมาก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะไม่มีวิธีไหนเลย ที่แก้สาเหตุการยุบตัวหรือ Volume loss สำหรับการผ่าตัดอาจเห็นว่าหน้าตึงขึ้นก็จริง แต่ก็เสียมิติของใบหน้า และดูไม่เป็นธรรมชาติ เพราะไม่ได้แก้การยุบตัวโดยเฉพาะโครงหน้า
ดังนั้น การรักษาที่ถูกต้องและตรงจุด ควรเริ่มที่การแก้การยุบตัวก่อน ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดคือการฉีดฟิลเลอร์ โดยจุดฉีดจะคำนึงถึงหลักการวิเคราะห์ใบหน้า (Facial analysis) คือ ใบหน้าส่วนกลางและส่วนล่าง (Mid face & Lower face) เป็นส่วนที่เกิดการหย่อนคล้อยก่อนส่วนอื่น และเป็นมากกว่าส่วนอื่น เนื่องจากส่วนนี้มีการเคลื่อนไหวมากกว่าส่วนอื่นนั่นเอง การแก้ปัญหาจึงควรเริ่มที่จุดเหล่านี้ก่อน
เทคนิค Butterfly Lift
ผมนำเสนอเทคนิค Butterfly Lift เพื่อเป็นทางเลือกให้ทั้งแพทย์และคนไข้ ได้นำไปเป็นทางเลือกของการรักษาเพื่อยกกระชับหน้า พร้อมๆ กับการปรับแก้โครงหน้าอย่างง่ายๆ แต่ได้ผลดี และไม่เจ็บตัวมากไม่ต้องพักฟื้น
เทคนิคดังกล่าวมีหลักการคือใช้การฉีดฟิลเลอร์ด้วยเข็มปลายทู่ลงไปที่จุดต่างๆ บนโครงกระดูกใบหน้า เปรียบเสมือนรูปปีกผีเสื้อ โดยมีรายละเอียดดังนี้คือ
1.ฉีดฟิลเลอร์ลงลึกวางบนกระดูกโหนกแก้ม ส่วนที่เรียกว่า Malar Bone จุดฉีดนี้จะช่วยยกแก้มส่วนหน้า และยังช่วยแก้ปัญหาใต้ตาลึกได้ด้วย
2.ฉีดฟิลเลอร์ลงลึกไปวางบนกระดูกโหนกแก้มด้านข้าง ที่เรียกว่า Zygomatic arch โดยวางฟิลเลอร์ให้เป็นรูปเหมือนปีกผีเสื้อ จุดฉีดนี้จะช่วยยึด และดึงยกแก้มส่วนด้านข้าง
3.ฉีดฟิลเลอร์ลงลึกไปวางบนกระดูกขากรรไกรบน ส่วนที่เรียกว่า Canine Fossa หรือตำแหน่งประมาณร่องแก้มตรงปีกจมูก การฉีดจุดนี้ไม่ได้มุ่งหวังแก้ร่องแก้ม แต่มุ่งหวังให้ฟิลเลอร์ลงไปช่วยค้ำยัน (Support) แก้ม ทำให้จุฉีดที่ 1 ช่วยยกแก้มได้ดีขึ้น
4.ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อแก้การยุบตัวของมุมปาก และด้านข้างของคาง จุดนี้ไม่จำเป็นต้องฉีดลึก ฉีดเข้าที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ก็เพียงพอสำหรับช่วยยกมุมปากที่ตก
5.ฉีดลึกลงไปที่คางเล็กน้อย ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นจุดยึด หรือ Anchoring point
เทคนิคดังกล่าวนี้เป็นการใช้ฟิลเลอร์ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ คือ
• ใช้ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มให้กับส่วนที่ยุบตัวใต้ผิว และกระดูก
• ใช้ฟิลเลอร์เพื่อดึงให้เกิดการยกกระชับ
• ใช้ฟิลเลอร์ เป็นตัวค้ำยัน และจุดยึด
• ใช้ฟิลเลอร์ช่วยปรับโครงหน้า
เห็นมั้ยครับว่า ฟิลเลอร์ทำอะไรได้มากกว่าที่หลายๆ คนเคยคิด การฉีดด้วยเทคนิค Butterfly Lift จะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 3-4 หลอด ถ้าฉีดได้ถูกเทคนิควิธี จะพบว่าหน้าดูยกกระชับ และดูหน้าเรียวเล็กขึ้นทันที ซึ่งต่างกับเทคนิคการฉีดแบบเก่า ซึ่งทำให้หน้าดูอ้วนใหญ่ขึ้น หลังฉีดถึงแม้จะฉีดด้วยเข็มปลายทู่เหมือนกันก็ตาม ทำให้คนไข้รู้สึกหน้าบวมใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะหลังการฉีดฟิลเลอร์บริเวณใบหน้าส่วนกลาง (Mid face)
ข้อควรระวังและผลข้างเคียง
1.การฉีดด้วยเทคนิค Butterfly Lift ต้องฉีดด้วยเข็มปลายทู่เท่านั้น เพราะการฉีดลงลึกหลายตำแหน่ง อาจมีอันตรายจากากรฉีดถูกเส้นเลือดได้ นอกจากนี้การฉีดด้วยเข็มปลายทู่ จะทำให้เกิดการยกกระชับได้ดีกว่าด้วย เพราะสามารถฉีดให้กระจายตัวยาฟิลเลอร์ดี้ และเรียบเนียนกว่า
2.การเลือกตัวยาฟิลเลอร์ที่เหมาสมจะทำให้ผลการรักษาดีขึ้น และดูเป็นธรรมชาติกว่า เพราะฟิลเลอร์บางยี่ห้ออาจดูดน้ำมาก ทำให้หน้าดูบวมหลังฉีด นอกจากนี้ฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยต้องเป็นชนิดที่ไม่ได้ผลิตมาจากสัตว์ หรือที่เรียกว่า Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid (NASHA) ซึ่งมีความปลอดภัยสูง และการใช้ฟิลเลอร์ที่เนื้อเจลประกอบด้วย HA อนุภาคใหญ่ (Large-particle HA gel) ที่มีขนาดเท่าๆ กัน จะทำให้การยกหน้าทำได้ดีกว่า และคงรูปอยู่ได้นานกว่าด้วย
3.การเขียวช้ำ พบได้น้อยมาก ส่วนใหญ่เกิดจากการฉีดยาชา การรักษาด้วยเทคนิค Butterfly Lift ปกติไม่มีรอยเขียวช้ำ และไม่ต้องพักฟื้นเลย
บทสรุป
การรักษาเพื่อการยกกระชับควรเริ่มที่การแก้ปัญหาการยุบตัวใต้ผิวและโครงกระดูก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการหย่อนคล้อย การฉีดฟิลเลอร์ด้วยเทคนิค Butterfly Lift เป็นวิธีที่ง่าย ปลอดภัย และได้ผลดีสำหรับการแก้ปัญหาในเบื้องต้น สำหรับแพทย์เอง หากผ่านการเรียนการสอนที่ถูกต้อง ก็สามารถให้การรักษาด้วยเทคนิคนี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเก่งหรือต้องมีประสบการณ์การฉีดฟิลเลอร์มามาก เพราะเป็นเทคนิคที่ง่าย และผมได้เผยแพร่เทคนิคนี้ให้แพทย์ไทยไปหลายสิบท่านแล้ว ด้วยมุ่งหวังว่าความรู้เหล่านี้จะช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อวงการแพทย์ความงามของไทยและต่อคนไข้ เพราะสำหรับคนไข้เอง หากรักษากับแพทย์ที่ได้เรียนรู้เทคนิคนี้อย่างถูกต้อง ก็มั่นใจได้ในความปลอดภัยจากการฉีดฟิลเลอร์ และได้ผลการรักษาที่ดี โดยไม่ต้องไปเสี่ยงกับการผ่าตัดที่อาจยังไม่จำเป็น หรือการรักษาที่ผิดวิธี ทำให้เสียเงินฟรี และเสี่ยงกับผลข้างเคียง
นพ.พุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ
ผู้อำนวยการนานาชาติ สมาคมแพทย์เกาหลี เพื่อศัลยกรรมความงาม และเลเซอร์
ผู้อำนวยการ AIC ศูนย์นวัตกรรมความงามกรุงเทพ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)