
© 2017 Copyright - Haijai.com
รู้จักพาราเซตามอลดีแค่ไหน
หลายต่อหลายครั้งที่เรามักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้ยา เช่น ยาสามัญประจำบ้านที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่แท้จริงแล้วความเข้าใจ อาจจะผิดไปจากข้อเท็จจริง โดยเฉพาะ พาราเซตามอล ดังนั้น เราจึงควรทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อให้การใช้ยาเกิดประโยชน์และมีความปลอดภัยมากที่สุด
พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือมีชื่อทางยาอีกชื่อว่า “อะเซตามิโนเฟน” (Acetaminophen) เป็นยาที่หลายคนรู้จักดี ในรูปแบบยาเม็ดในแผงบรรจุเสร็จแผงละ 10 เม็ด ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านที่สามารถหาซ้อได้ทั่วไป หรือในรูปยาเม็ดที่บรรจุในกระปุกทั้งขนาด 325 มิลลิกรัม และ 500 มิลลิกรัม ต่อ 1 เม็ด นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบยาน้ำเชื่อมหรือยาน้ำแขวนตะกอนสำหรับรับประทานของเด็ก ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปด้วย
การรับประทานยาพาราเซตามอลในผู้ใหญ่
คำแนะนำโดยทั่วไปสำหรับยาเม็ด 500 มิลลิกรัม ให้รับประทาน 1-2 เม็ดทุก 4-6 ชั่วโมง เวลามีไข้หรือมีอาการปวด และไม่รับประทานติดต่อกันเกิน 5 วัน ซึ่งหากรับประทาน 1 เม็ด ทุก 4 ชั่วโมงใน 1 วัน เราอาจรับประทานยาถึง 6 เม็ด (3,000 มิลลิกรัม) และถ้าหากรับประทานครั้งละ 2 เม็ด ทุก 4 ชั่วโมง ใน 1 วัน เราอาจได้รับยามากถึง 12 เม็ด (6,000 มิลลิกรัม) ซึ่งเป็นขนาดยาที่สูงเกินกว่าขนาดยาสูงสุดที่ให้ใช้ได้ต่อวัน (ขนาดยาสูงสุดของยาพาราเซตามอลคือไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือยาเม็ดขนาด 500 มิลลิกรัม ได้ไม่เกินวันละ 8 เม็ด) ทั้งนี้เนื่องจากยาพาราเซตามอลมีผลพิษต่อตับ การรับประทานยาปริมาณมากในระยะเวลาสั้นๆ ตับไม่สามารถกำจัดสารพิษจากยาได้ทัน จึงทำให้เกิดพิษต่อตับได้ จึงเป็นที่มาของคำแนะนำที่ไม่ควรรับประทานยาติดต่อกันเกิน 5 วัน ปัญหาพิษต่อตับจากยาพาราเซตามอลนี้ ในประเทศพัฒนาแล้วอย่างอเมริกา ก็พบปัญหาการใช้ยาเกินขนาดจนเกิดปัญหาพิษต่อตับ จนกระทั่งองค์การอาหารและยาของอเมริกาได้เปลี่ยนแปลงคำแนะนำโดย ให้ใช้ยาที่มีพาราเซตามอลไม่เกิน 325 มิลลิกรัมต่อเม็ด รับประทานครั้งละ 650 มิลลิกรัม และยังกำหนดขนาดยาสูงสุดสำหรับประชาชนทั่วไป ให้ใช้ไม่เกินวันละ 3,250 มิลลิกรัม ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลพิษต่อตับจากยา สำหรับประเทศไทยถึงตอนนี้ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำแนะนำสำหรับขนาดยาพาราเซตามอลออกมาอย่างเป็นทางการ ดังนั้น เราจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับขนาดและวิธีการใช้ยาพาราเซตามอลที่ถูกต้อง ใช้ยาเมื่อจำเป็น และไม่รับประทานเกินขนาดสูงสุดต่อวัน คือ 4,000 มิลลิกรัม ในผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้สูอายุ หรือผู้ที่เคยเป็นโรคตับมาก่อน เราอาจพิจารณาเลือกใช้ยาเม็ดขนาด 325 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 2 เม็ด (650 มิลลิกรัม) แทนการใช้ยาเม็ดขนาด 500 มิลลิกรัม 2 เม็ด (1,000 มิลลิกรัม) เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลพิษต่อตับ
การรับประทานยาพาราเซตามอลในเด็ก
ในเด็กทารกและเด็กเล็ก (แรกเกิดจนถึง 6 ปี) จะให้ยาตามน้ำหนักตัว แต่บางครั้งผู้ปกครองที่ซื้อยาให้เด็กรับประทานเอง และป้อนยาตามขนาดยาที่แนะนำบนฉลากข้างขวดยา ซึ่งเป็นขนาดยาแบบประมาณกว้างๆ ซึ่งไม่เที่ยงตรง และอาจเสี่ยงต่อการได้รับยาเกินขนาดได้ ในกรณีที่เด็กมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ การใช้ยาพาราเซตามอลในเด็ก มีขนาดยาที่แนะนำดังนี้
• เด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี ให้รับประทานครั้งละ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ให้ซ้ำได้ทุก 4 ชั่วโมง แต่ไม่ควรให้รับประทานเกินวันละ 5 ครั้ง และขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 75 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ใน 1 วัน (ตัวอย่างเช่น เด็กน้ำหนักตัว 10 กิโลกรัม ให้รับประทานครั้งละ 100-150 มิลลิกรัม ใน 1 วัน ไม่เกิน 750 มิลลิกรัม)
• เด็กอายุ 6-11 ปี อาจให้ตามน้ำหนักตัว 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว หรือรับประทานยาเม็ดขนาด 325 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด โดยขนาดยาสูงสุดต่อวันไม่ควรเกิน 1,625 มิลลิกรัม และรับประทานติดต่อกันไม่เกิน 5 วัน เว้นแต่แพทย์สั่ง
• เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป สามารถรับประทานขนาดยาตามแบบผู้ใหญ่ได้
นอกจากเรื่องของขนาดยาที่รับประทานแล้ว ความเข้มข้นหรือความแรงของยาพาราเซตามอลน้ำที่มีใช้ ก็มีความหลากหลาย เวลาเลือกใช้ยา ควรเลือกชนิดที่มีความเข้มข้นที่เหมาะสม เช่น ยาน้ำชนิดเข้มข้น 100 มิลลิกรัม ต่อ 1 มิลลิลิตร จะเหมาะสำหรับเด็กทารก เพราะปริมาณยาที่ป้อนจะน้อยมาก ทำให้ป้อนยาง่าย ส่วนยาน้ำความเข้มข้น 250 มิลลิกรัม ต่อ 5 มิลลิลิตร (5 มิลลิลิตร เท่ากับ 1 ช้อนชา) จะเหมาะสำหรับเด็กที่มีน้ำหนักตัวที่มากขึ้น เพราะจะใช้ปริมาณยาที่ป้อนต่อมื้อน้อยกว่ายาน้ำความเข้มข้น 120 มิลลิกรัม ต่อ 5 มิลลิลิตร พึงระมัดระวังการนำยาชนิดเข้มข้น (100 มิลลิกรัม ต่อ 1 มิลลิลิตร) มาป้อนเป็นช้อนชา อาจทำให้เด็กได้รับยาเกินขนาดได้
สิ่งสำคัญอีกเรื่องที่เกี่ยวกับยาพาราเซตามอล คือ ตัวยาพาราเซตามอล อาจมีผสมอยู่ในยาสูตรตำรับต่างๆ นอกเหนือจากยาพาราเซตามอลเดี่ยวๆ เช่น ยาคล้ายกล้ามเนื้อบางสูตร, ยาแก้ไขหวัดชนิดแผงบรรจุเสร็จ 4 เม็ด, หรือยาแก้ปวดบางสูตร เป็นต้น ยาเหล่านี้อาจมีตัวยาพาราเซตามอลผสมอยู่ในปริมาณ ตั้งแต่ 325-500 มิลลิกรัม ต่อเม็ด ซึ่งถ้าเรารับประทานควบคู่กับยาพาราเซตามอลเดี่ยวๆ โดยที่ไม่ทราบว่าตัวยาซ้ำซ้อนกัน ก็อาจเกิดความเสี่ยงได้รับยาเกินขนาดจนเกิดพิษต่อตับได้เช่นกัน ดังนั้น หากจำเป็นต้องใช้ยาที่มีพาราเซตามอลผสมอู่ด้วยหลายรายการร่วมกัน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพื่อพิจารณาว่าขนาดยาพาราเซตามอลที่ได้รับ จะเกินไปจนเป็นปัญหาหรือไม่
เภสัชกรสมเจตน์ สุวรรณศิริพัฒน์
เภสัชกรประจำแผนกเภสัชสนเทศ ฝ่ายเภสัชกรรม
ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)