© 2017 Copyright - Haijai.com
สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ เตือน เด็กไทยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในเด็กสูง
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังประสบปัญหาพบว่าผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง พบได้บ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด อาจเนื่องจากสภาพสิ่งแวดล้อมปัจจุบันแตกต่างจากอดีต ทารกกินนมแม่ลดลง ปัญหาเด็กทารกแพ้นมวัวเพิ่มขึ้น การบริโภคอาหารเหมือนในประเทศตะวันตก ได้แก่ รับประทานอาหารประเภทจั๊งค์ฟู้ด (Junk Food) ซึ่งเป็นอาหารที่ไม่ค่อยมีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น แฮอมเบอร์เกอร์ ไก่ทอด มันฝรั่งทอด พิซซ่า เป็นต้น ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นสังเกตลูกน้อย ว่าผิวของลูกนั้นแห้ง มีผื่นแดงๆ หรืออักเสบ โดยเฉพาะบริเวณแก้ม หน้าผาก จนลูกต้องเกาๆ เพราะคัน หรือเปล่า หากพบอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาสาเหตุ และยับยั้งการลุกลามได้อย่างทันท่วงที
โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic czema)
เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งพบได้บ่อยในเด็ก ในประเทศไทยเราพบว่า เด็กเป็นโรคนี้ร้อยละ 10-20 ซึ่งร้อยละ 85 อาการจะเกิดก่อนอายุ 5 ปี โดยไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ไม่ใช่เกิดจากความสกปรก มักเป็นๆ หายๆ และมีอาการคัน โดยทั่วไปผู้ป่วยอาจจะมีประวัติภูมิแพ้ผิวหนัง หรือภูมิแพ้ในระบบต่างๆ ในครอบครัว ร่วมด้วย เช่น หอบหืด, แพ้อากาศ, เยื่อบุจมูกอักเสบ, เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นต้น หรืออาจจะไม่มีประวัติใครในครอบครัวเป็นโรคนี้ก็ได้
สาเหตุของโรคยังไมทราบแน่นอน แต่พบว่าอาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมของพ่อหรือแม่ หรือทั้งคู่ ถ้าทั้งพ่อและแม่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ จะสูงกว่าที่คนใดคนหนึ่งเป็นโรค นอกจากนั้นปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมก็มีผลเช่นกัน โดยเฉพาะเป็นเหตุกระตุ้นให้ผื่นเห่อมากขึ้น เช่น ความร้อน ความเย็น อากาศที่แห้ง สารระคายเคือง สารชะล้าง ซักฟอก หรืออาหารบางชนิด เช่น นมวัว หรือโรคติดเชื้อโดยเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรีย สามารถกระตุ้นให้ผื่นเห่อมากขึ้นได้ และสาเหตุสุดท้ายอาจมาจากภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานของเด็ก เป็นต้น
ส่วนลักษณะอาการของโรคที่สำคัญ คือ เด็กจะมีผิวที่แห้งจนเป็นขุย ถ้าผิวหนังอักเสบก็จะเกิดรอยโรคเห่อแดง อาจมีน้ำเหลืองร่วมด้วย ส่วนตำแหน่งของโรคก็จะแตกต่างกัน เด็กเล็กๆ จะพบผื่นบริเวณแก้ม แขน ขา หรือข้อมือ ข้อเท้า และเด็กโต ก็จะพบตามข้อพับแขนและขาทั้งสองข้าง และเด็กๆ จะรู้สึกคันเป็นอย่างมาก และแม้ว่าการเกาจะทำให้หายคันได้เพียงชั่วขณะ แต่ก็จะทำให้เกิดรอยถลอกที่ผิว ซึ่งจะทำหน้าที่ในการป้องกันของผิวหนังลดลง สารระคายเคืองและสารก่อภูมิแพ้ จึงซึมสู่ผิวหนังได้มากขึ้น แล้วเด็กก็จะคันมากขึ้นกว่าเดิม และเริ่มต้นวงจรของการ คัน – เกา – ผื่นแพ้
ศ.คลินิก พญ.ศรีศุภลักษณ์ สิงคาลวณิช อุปนายกด้านบริการทางการแพทย์และสังคม สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า พ่อและแม่ต้องหมั่นดูแลลูกน้อยด้วยการดูแลผิวหนัง อาบน้ำ ทายา ให้ความชุ่มชื้น ทายาลดการอักเสบ หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และตัวกระตุ้น เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ยาหรืออาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย อย่างเช่น นมวัว นมถั่วเหลือง ถั่ว อาหารทะเล แป้งสาลีและไข่ ให้ลูกรับประทานยาลดอาการคัน และคอยระวังการติดเชื้อ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม เลือกใช้เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้าย หลีกเลี่ยงจากควันบุหรี่ กำจัดฝุ่นภายในบ้าน หลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์ที่มีขน อย่าให้เด็กน้อยอยู่ในที่ร้อนจัด หรือมีความชื้น
ในเรื่องของยาที่ใช้ทาภายนอกนั้น แพทย์จะให้เป็นยาทาสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นยาที่ดี ใช้ในรายที่มีผื่นอักเสบ เห่อ แดง คัน ซึ่งยานี้มีหลายชนิด ตั้งแต่ระดับอ่อน ปลานกลางและแรง แต่ต้องไม่ใช้ติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์ ผลข้างเคียงเฉพาะที่จะทำให้ผิวบางขนยาว ถ้าใช้เป็นบริเวณกว้างและติดต่อเป็นเวลานาน อาจดูดซึมและกดการเจริญเติบโตได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ไม่ควรซื้อยาใช้เอง
ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเป็นโรคเรื้อรังที่พบบ่อยในเด็ก มักจะเป็นๆ หายๆ ซึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้น และรุนแรงน้อยลง เมื่อลูกน้อยเริ่มเติบโตขึ้น แต่ก็จะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ เมื่อโตขึ้นเช่นกัน ณ เวลานี้คุณแม่ควรให้ลูกน้อยรับประทานนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน ไม่ควรให้อาหารเสริมก่อน 6 เดือน หากครบ 6 เดือนแล้ว ก็ให้อาหารเสริมทีละอย่าง และคอยสังเกตการณ์กำเริบของผื่น ตลอดจนการดูแลสุขภาพผิวของเด็กๆ อย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยคุณพ่อคุณแม่ รวมทั้งคอยติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกน้อยอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขเมื่อยามเติบโต
ศ.คลินิก พญ.ศรีศุภลักษณ์ สิงคาลวณิช
อุปนายกด้านบริการทางการแพทย์และสังคม
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
(Some images used under license from Shutterstock.com.)