
© 2017 Copyright - Haijai.com
ต่อมทอนซิลอักเสบ Tonsillitis
ต่อมทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ต่อมทอนซิลเป็นต่อมน้ำเหลืองในลำคอ โดยเป็นต่อมคู่อยู่ด้านข้างใกล้โคนลิ้นซ้ายและขวา มีหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ โดยกรองเชื้อแบคทีเรียและจุลชีพอื่นๆ ออก แต่เมื่อมีเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสมากเกินไป ต่อมทอนซิลก็อาจจะบวมและอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบมักจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งมีอยู่หลายชนิดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ Epstein Barr virus (สาเหตุของโรคโมโนนิวคลิโอสิส mononucleosis) หรือ adenovirus เมื่อต่อมทอนซิลอักเสบเกิดจากเชื้อไวรัส ระยะเวลาที่เป็นโรคจะขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อไวรัส โดยส่วนมากผู้ป่วยจะหายเป็นปกติภายใน 1 สัปดาห์ แต่บางครั้งก็ใช้ระยะเวลาถึง 2 สัปดาห์ ต่อทอนซิลอักเสบสามารถจำแนกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
• ต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน (Acute tonsillitis) สามารถเกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
• ต่อมทอนซิลอักเสบกึ่งเฉียบพลัน (Subacute tonsillitis) ระยะเวลาที่เป็นโรคอยู่ระหว่าง 3 อาทิตย์ – 3 เดือน เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Actinomyces
• ต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง (Chronic tonsillitis) ระยะเวลาที่เป็นโรคจะนาน ถ้าไม่ได้รับการรักษา เกือบทั้งหมดจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
ต่อมทอนซิลอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียสามารถเกิดจากแบคทีเรีย group A Streptococcal (เช่น Steptococcus pyogenes) ซึ่งส่งผลให้เกิดการติดเชื้อ Streptococcus ที่คอ ถ้าไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อ Streptococcus ที่คอจะทำให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงขึ้น ได้แก่ ไข้รูมาติก ซึ่งสามารถทำลายลิ้นหัวใจได้ในเวลาหลายปีต่อมา บางครั้งต่อมทอนซิลอักเสบอาจจะเกิดจากการติดเชื้อสำทับ (Superinfection) จากเชื้อ Spirochaeta และ Treponema (Vincent’s angina หรือ Plau-Vincent angina) ไม่ว่าจะเกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ต่อมทอนซิลอักเสบก็จะแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง โดยการสัมผัสระหว่างบุคคล เช่น การสูดเอาละอองน้ำลายจากการจามที่กระจายอยู่ในอากาศ บางครั้งต่อมทอนซิลที่อักเสบหรือฝีรอบๆ ต่อมทอนซิลจะขวางทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ อาจพบการติดเชื้อในลำคอและบริเวณรอบๆ ทำให้เกิดอาการเจ็บคอหรือคอหอยอักเสบ (Pharyngitis)
คำแนะนำผู้ป่วย
• ไม่บังคับให้เด็กรับประทานอาหาร ถ้าเด็กกลืนลำบาก สามารถบรรเทาอาการเจ็บคอได้โดยการให้ดื่มน้ำ ซุป น้ำแกง หรือเครื่องดื่มอุ่นๆ (ไม่ร้อน) ผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 8 ปี ให้กลั้วคอด้วยยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ ที่เจือจางในน้ำ หรือน้ำเกลืออุ่นๆ (ผสมเกลือครึ่งช้อนชาในน้ำอุ่น 240 มิลลิลิตร และ/หรือ อมยาอม (lozenge) เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ
• นอนหลับมากๆ ลดการใช้เสียง การระคายคอและการที่เสียงหายไปชั่วคราว อาจจะเป็นผลมาจากการพูด
• หลีกเลี่ยงควันและมลพิษทางอากาศอื่นๆ ซึ่งสามารถระคายเคืองลำคอ
• ดื่มน้ำวันละหลายๆ แก้ว เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
• ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ทำให้ต่อมทอนซิลอักเสบ
• รับประทานยาปฏิชีวนะที่ได้รับจนหมด แม้ว่าอาการจะหายดีก่อนยาหมดก็ตาม การรับประทานยาที่ได้รับจนหมดจะป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงต่อหัวใจ จากไข้รูมาติก เมื่อสงสัยเกี่ยวกับยาที่ได้รับหรือต้องการเลือกยาอม เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ ให้ถามแพทย์หรือเภสัชกร
ทางเลือกในการรักษา
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
• ยาปฏิชีวนะในกลุ่ม penicillins เป็นตัวเลือกที่ใช้กันมากที่สุด
• ในกรณีที่แพ้ penicillins และอาการแพ้ไม่รุนแรง สามารถใช้ยาในกลุ่ม cephalosporins เช่น cefadroxil, cefuroxime, cefdinir, cefixime, cefpodoxime, และ ceftibuten หรือใช้ยาในกลุ่ม macrolides เช่น erythromycin, azithromycin, clarithromycin หรือ clindamycin
• ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะเกิน 7 วัน ยกเว้นแพทย์สั่ง การใช้ยาปฏิชีวนะยาวเกินไปจะทำให้เชื้อดื้อยาได้
• ยาปฏิชีวนะบางชนิดสามารถลดประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิดได้ ทำให้เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ระหว่างการรักษาต่อมทอนซิลอักเสบ
• ใช้ยาปฏิชีวนะด้วยความระมัดระวังระหว่างตั้งครรภ์ ยาในกลุ่ม penicillins และยาในกลุ่ม cephalosporins ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์
ยาแก้ปวดและยาลดไข้ (Analgesics & Antipyretics)
ยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์อ่อน ได้แก่ paracetamol สามารถบรรเทาอาการเจ็บคอ และไข้ได้เป็นระยะเวลาพอสมควร
ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal Anti-Inflammatory Drugs, NSAIDs)
• ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ อาจมีอาการข้างเคียง เช่น ได้ยินเสียงหึ่งในหู ระคายเคืองกระเพาะอาหาร และทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร จึงไม่ควรใช้ยาในกลุ่มนี้กับผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นแผลในกระเพาะอาหาร อาหารไม่ย่อย และโรคระบบทางเดินอาหารอื่นๆ ตลอดจนผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคไต และภาวะขาดน้ำ
• ไม่ควรใช้ยาในกลุ่ม salicylates (เช่น aspirin) โดยระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี เนื่องจากยาในกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับการเกิด Reye’s syndrome ซึ่งมีอันตรายอย่างมาก
• Ibuprofen ช่วยลดอาการบวมและอักเสบ ตลอดจนบรรเทาความเจ็บปวดของผู้ป่วย และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำได้เร็วขึ้น
ผลิตภัณฑ์สำหรับ ปาก/ลำคอ (Mouth/Throat Preparations)
• ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เฉพาะที่ซึ่งอยู่ในรูปของยาอม ยากลั้วคอหรือสเปรย์พ่นช่องปาก ประกอบด้วยยาต้านการอักเสบ เช่น benzydamine ยาชา เช่น amylocaine, lidocaine และ tetracaine และยาฆ่าเชื้อ amylmetacresol, benzalkonium chloride, biclotymol, cetalkonium chloride, cetylpyridinium chloride, chlorhexidine, dequalinium chloride, dichlorobenzyl alcohol, hexetidine และ povidone-iodine ผลิตภัณฑ์บางตัวอาจจะมียาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น bacitracin, neomycin sulfate และ tyrothricin
• ยาฆ่าเชื้อบางตัวอาจระคายเคืองลิ้นและริมฝีปาก
(Some images used under license from Shutterstock.com.)