Haijai.com


ผู้ป่วยเบาหวานมีวิธีป้องกันอย่างไร


 
เปิดอ่าน 11999

เบาหวาน กินเป็นคุมอยู่

 

 

การรับประทานอาหารของผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ ชนิดของคาร์โบไฮเดรต ปริมาณคาร์โบไฮเดรต แลเวลาในการรับประทานอาหาร โดยผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (พบในข้าวซ้อมมือ ผัก ผลไม้ ธัญพืช) มากกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (น้ำตาล ขนมหวาน ข้าวขาว ข้าวเหนียว) รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่รับประทานคาร์โบไฮเดรตหมวดน้ำตาลเกินกว่า 6 ช้อนชาต่อวัน และรับประทานผักสุกให้ได้วันละ 3 กำมือ แน่นๆ อาหารว่างมื้อสายหรือบ่ายอาจจะรับประทานเป็นผลไม้ หรือขนมโดยปริมาณไม่เกินโควตาในหมวดอาหารดังกล่าว

 

 

เมื่อเดือนแห่งความรักมาถึงหลายคนเริ่มมองหาของขวัญสำหรับสื่อความรักและความปรารถนาดีต่อกัน หนึ่งในนั้นอาจเป็นขนมหวาน ช็อกโกแลต เริ่มต้นเดือนแห่งความรักด้วยอาหารสำหรับผู้ที่ต้องควบคุมความหวานในเส้นเลือดไม่ให้สูงเกินไป นั่นก็คือ “อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน” นั่นเอง เชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้อ่านและอาจมีความเข้าใจในระดับหนึ่งบ้างแล้ว ดังนั้น วันนี้ผู้เขียนจึงขอเอาใจผู้ป่วยเบาหวานด้วยการเน้นหยิบยกประเด็นของหวานและผลไม้ อาหารที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้ หากรับประทานมากเกินไป เราจะมีวิธีอย่างไรที่จะทำให้ผู้ดูแลอุ่นใจ ส่วนผู้ป่วยก็รับประทานได้อย่างมีความสุข

 

 

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า โรคเบาหวานเป็นโรคที่สัมพันธ์กับอาหาร คือ เมื่อไหร่ที่เรารับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต ไม่ว่าจะเป็นข้าว แป้ง น้ำตาล ผัก ผลไม้ นม น้ำตาลในเลือดของเราก็จะสูงขึ้น ยิ่งรับประทานคาร์โบไฮเดรตมากเท่าไหร่ น้ำตาลในเลือดก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น ในคนปกติหลังรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต ตับอ่อนของเราจะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่ออินซูลิน (insulin) ออกมาเพื่อเก็บกวาดน้ำตาลในเลือดออกไปส่งให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายใช้เป็นพลังงาน ทว่าในผู้ป่วยเบาหวานอินซูลินที่ถูกหลั่งออกมามักขี้เกียจและดื้อ ไม่ยอมเก็บกวาดน้ำตาล เรียกว่า “ภาวะดื้ออินซูลิน” ทำให้น้ำตาลกองอยู่ในเส้นเลือดปริมาณมาก แต่เซลล์ต่างๆ กลับไม่ได้พลังจากน้ำตาลเหมือนปกติ ร่างกายจึงมีกลไกกระตุ้นให้ผู้ป่วยเบาหวานอยากรับประทานของหวาน เพื่อเพิ่มน้ำตาลในเลือด และช่วยให้เซลล์ได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นอีก ทั้งที่จริงๆ แล้ว ในเส้นเลือดของผู้ป่วยเต็มไปด้วยน้ำตาลอยู่แล้ว ผู้ป่วยเบาหวานจึงมักมีพฤติกรรมชอบกินของหวานมากกว่าแต่ก่อน มีการแอบกินขโมยกินอาหารที่แพทย์มักห้ามหรือขอให้ลดการกินลง นี่เป็นสภาวการณ์ที่น่าเห็นใจอย่างมาก ผู้ดูแลจึงควรมีความเข้าใจผู้ป่วยตรงจุดนี้ด้วย มิฉะนั้นอาจเจอปัญหายิ่งห้ามยิ่งยุ ไม่ให้กินก็ไปแอบกินทีหลัง จนสุดท้ายน้ำตาลในเลือดเพิ่มมากขึ้น จนวิ่งไปเกาะที่เม็ดเลือดแดง กลายเป็นน้ำตาลสะสมหรือฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1c) สูงเกินเกณฑ์คือมากกว่า 7% ส่งผลให้เลือดของผู้ป่วยข้นหนืดเป็นน้ำเชื่อมจนไปทำลายหลอดเลือด เกิดเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ระบบเส้นเลือด ได้แก่ ชาตามปลายมือปลาย เบาหวานขึ้นตา เบาหวานลงไต โรคหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมอง

 

 

การเลือกรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ต้องคำนึงถึงชนิดและปริมาณคาร์โบไฮเดรตแต่ละมื้อ ร่วมกับช่วงเวลาการกินที่เหมาะสม หากสามารถบริหารจัดการทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ได้เราก็จะมีความสุขกับการกิน และสามารถลดยาเบาหวานได้ในผู้ป่วยบางรายด้วย โดยเป้าหมายที่ต้องการคือการเลือกรับประทานอาหารให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นช้าๆ และไม่ขึ้นสูง

 

 

ชนิดของคาร์โบไฮเดรต

 

คาร์โบไฮเดรตแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ

 

 คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว พบได้ในน้ำตาล น้ำผึ้ง น้ำหวาน ข้าวขาว ข้าวเหนียว ขนมปังขาว ขนมเค้ก คุกกี้ ขนมหวาน เป็นต้น เมื่อรับประทานคาร์โบไฮเดรตชนิดนี้แล้ว ร่างกายจะย่อยและเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด 90-100% ภายใน 15-90 นาที ดังนั้น ภายใน 15 นาทีหลังรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว น้ำตาลในเลือดก็จะพุ่งสูงขึ้นทันที

 

 

 คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ได้แก่ ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง ขนมปัง โฮลวีต ธัญพืชต่างๆ คาร์โบไฮเดรต ชนิดนี้มักมีคาร์โบไฮเดรตที่เป็นใยอาหารเป็นส่วนประกอบ ทำให้หลังรับประทานเข้าไปใยอาหารจะทำหน้าที่เหมือนตาข่ายคอยกั้นน้ำตาล ไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย น้ำตาลในเลือดของเราจึงเพิ่มอย่างช้าๆ

 

 

ดังนั้น หากจะเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรต ผู้ป่วยเบาหวานควรเลือกอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะดีกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว

 

 

ปริมาณคาร์โบไฮเดรต

 

เมื่อเลือกชนิดคาร์โบไฮเดรตได้แล้ว เราก็ต้องมาพิจารณากันต่อว่าอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตในแต่ละหมวด เราจะเลือกรับประทานในปริมาณเท่าไหร่ดี

 

 หมวดข้าว แป้ง รับประทานได้ประมาณ 2 ทัพพีต่อมื้อ ตัวอย่าง ข้าวแป้ง 1 ทัพพี ได้แก่ ข้าวกล้อง 1 ทัพพี ขนมจีน 1 จับ ขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น ข้าวเหนียว 3 คำ ข้าวโพดหวานครึ่งฝัก เป็นต้น

 

 

 หมวดผัก เป็นหมวดที่อุดมไปด้วยใยอาหาร ผู้ป่วยเบาหวาน จึงควรรับประทานในปริมาณมาก อย่างน้อยควรรับประทานผักสุก 3 ทัพพี หรือประมาณ 3 กำมือ แน่นๆ ต่อวัน แต่หากเป็นผักดิบจะต้องรับประทานเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า โดยพยายามเลือกกินผักให้ได้หลากหลายสี เพราะสารสีในผัก (รงควัตถุ) คือ สารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการอักเสบในเส้นเลือด ที่ต้องเจอน้ำตาลในเลือดสูงๆ ตลอดเวลา จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของผู้ป่วยเบาหวานได้

 

 

 หมวดผลไม้ ผลไม้เป็นกลุ่มอาหารที่หลายคนไม่ทราบว่า ทำให้น้ำตาลขึ้นสูงได้ ผู้ป่วยบางรายจึงพยายามควบคุมน้ำตาลในเลือด โดยงดข้าวแต่กลับไปเลือกผลไม้แทน ผลคือน้ำตาลในเลือดสูงเหมือนเดิม ดีไม่ดีอาจสูงมากกว่าเดิม เพราะคิดว่าน้ำตาลไม่สูง จึงรับประทานในปริมาณที่เยอะเกินไป ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานผลไม้ได้ประมาณ 15-20 ชิ้นพอดีคำ หรือ ประมาณ 2-4 จานเล็ก ผู้อ่านลองนึกถึงจานรองถ้วยกาแฟที่บ้านนะคะ อยากรับประทานผลไม้อะไรให้หั่นเป็นชิ้นพอดีคำแล้ววางลงไปบนจานหนึ่งชั้นห้ามซ้อน 1 จานที่ได้นั่นแหล่ะค่ะคือ 1 จานเล็ก ตัวอย่าง เช่น องุ่น ไม่ควรวางเป็นพวงแต่ให้เด็ดเป็นเม็ดๆ แล้ววางลงไปในจาน โดยไม่เรียงซ้อนกันจะได้องุ่น 8-20 เม็ดต่อจาน ขึ้นอยู่กับผลเล็กผลใหญ่ กล้วยหอม 1 ผล หากวางบนจานจะยาวเกินจานรองถ้วยกาแฟ จึงต้องหั่นกล้วยให้เหลือครึ่งเดียวถึงจะวางพอดี 1 จาน หากเรารับประทานกล้วยหอมทีเดียวหมดลูกเลย ก็จะเท่ากับเรากินผลไม้ไป 2 จานเล็ก เป็นต้น ในกรณีที่เรารับประทานผลไม้จนครบโควตา 2-4 จานเล็กแล้ว แต่ยังอยากรับประทานเพิ่มอีก ก็สามารถทำได้โดยนำผลไม้ 1 จานเล็กที่ต้องการนี้ไปแลกกับโวตาข้าวที่มีอยู่ 1 ทัพพี เรียกว่ากินผลไม้ไป 1 จานเล็กต้องไปลดข้าวลง 1 ทัพพีนั่นเอง การแลกเปลี่ยนอาหารวิธีนี้จะทำให้ผู้ป่วยเบาหวานได้รับคาร์โบไฮเดรตเท่าเดิม

 

 

 หมวดนม สามารถรับประทานได้ 1-2 แก้วต่อวัน โดยอาจเลือกเป็นนมจืดไขมันต่ำหรือโยเกิร์ตถ้วยเล็กก็ได้

 

 

 หมวดน้ำตาล เป็นหมวดผู้ร้ายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวจึงทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นเร็วได้ แต่ชีวิตผู้ป่วยเบาหวานหลายคนก็คงจะขาดหวานไม่ได้เช่นกัน ผู้ป่วยเบาหวานจึงมีโควตาสำหรับน้ำตาลวันละ 6 ช้อนชา ซึ่งเราสามารถรับประทานในรูปของเครื่องดื่ม เช่น นมเปรี้ยว น้ำสมุนไพรหวานน้อย หรือขนมหวานก็ได้ ทั้งนี้น้ำตาลที่อยู่ในอาหารนี้ รวมทั้งวันจะต้องไม่เกิน 6 ช้อนชา หากเรานำโควตาน้ำตาลที่มีอยู่นี้มาเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มของหวาน ผู้ป่วยเบาหวานจะสามารถรับประทานอาหารเหล่านี้ได้ตามปราณที่แสดงในตาราง แต่เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เราอาจใช้เทคนิคประเมินปริมาณโดยใช้ฝ่ามือเป็นหลัก คือ หากต้องการรับประทานขนมอะไรให้นำขนมนั้นๆ วางเรียงบนฝ่ามือ (ไม่รวมนิ้วมือ) 1 ชั้นห้ามซ้อน ปริมาณที่วางได้นี้เทียบเท่ากับโควตาของหวานที่มีคาร์โบไฮเดรตเท่ากับน้ำตาล 6 ช้อนชา ว่าแล้วก็ยกมือตนเองขึ้นมาเลยค่ะ จากนั้นลองจินตนาการว่าเรากำลังเอาขนมที่มีในตารางด้านล่างวางบนฝ่ามือตนเอง แล้วดูเฉลียในช่องปริมาณที่กินได้ต่อวันนะคะ ว่าได้ตรงตามที่แสดงในตารางหรือไม่ หากเราวางได้มากหรือน้อยกว่านั้น อาจเป็นเพราะฝ่ามือแต่ละคนไม่เท่ากัน ผู้อ่านอาจนึกถึงปริมาณที่สามารถวางพอดีบนทัพพีตักข้าวพลาสติกก็ได้ แต่บอกไว้ ก่อนนะคะว่า นี่เป็นวิธีที่ผู้เขียนคิดขึ้นเอง อาจไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อว่าอย่างน้อยเทคนิคนี้ก็ทำให้ผู้ป่วยไม่เผลอลืมตัวรับประทานของหวานมากเกินได้

 

 

ปริมาณขนมและเครื่องดื่มที่ผู้ป่วยเบาหวานสามารถเลือกรับประทานอย่างใดอย่างหนึ่งได้ต่อ 1 วัน

 

ขนมและเครื่องดื่ม

ปริมาณน้ำตาล

ปริมาณที่กินได้ต่อวัน

กรัม

ช้อนชา

ขนมเปียกปูน 1 ชิ้น

10

2 ½

2 ชิ้น

ข้าวต้มมัดไส้กล้วย 1 ชิ้น

11

2 ¾

2 ชิ้น

ข้าวเหนียวหน้าสังขยา 1 ห่อ

19

4 ¾

1 ห่อ

ข้าวเหนียวหน้าปลาแห้ง 1 ห่อ

22

5 ½

1 ห่อ

ทองหยอด 1 ลูก

5

1 ¼

5 ลูก

เม็ดขนุน 1 เม็ด

3

¾

8 ลูก

ฝอยทอง 1 แพ

13

3 ¼

1 ½ แพ

ลูกอม 1 เม็ด

5

1 ¼

5 เม็ด

คัพเค้ก 1 ชิ้นเล็ก

30

7 ½

1 ชิ้นเล็ก

คุกกี้ 1 ชิ้นเล็ก (ขนาด 2 ¼ นิ้ว)

7.5

2

3 ชิ้น

โดนัท (ไม่เคลือบน้ำตาล) 1 ชิ้น

22

5 ½

1 ชิ้น

นมเปรี้ยว 1 ขวดเล็ก (80 ซีซี)

17.6

4 ½

1 ขวดเล็ก

น้ำอัดลม 1 กระป๋อง

34.8

8.7

ครึ่งกระป๋อง

เครื่องดื่มชาเขียวรสน้ำผึ้ง 1 กล่อง

30

7 ½

¾ กล่อง (180 ซีซี)

 

 

เวลาในการรับประทาน

 

เวลาในการรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะมีผลทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินเกณฑ์ได้ ผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทานอาหารหลายมื้อ แต่ละมื้อมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตใกล้เคียงกัน มื้อหลัก ได้แก่ อาหารเช้า กลางวัน เย็น ควรรับประทานให้ตรงเวลาทุกวัน ส่วนอาหารว่างมื้อสายหรือบ่าย ซึ่งอาจกินในรูปผลไม้ ขนมต่างๆ ให้รับประทานตามโควตาหลังอาหารหลักประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการได้รับคาร์โบไฮเดรตปริมาณมากในมื้อเดียว และทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ถูกควบคุมอาหาร แต่ยังสามารถรับประทานได้เหมือนคนอื่นๆ

 

 

เพียงแค่เราเลือกชนิด ปริมาณของคาร์โบไฮเดรตให้ถูก และเลือกรับประทานในเวลาที่เหมาะสม ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานได้ อย่างมีความสุข ในขณะที่ผู้ดูแลก็อุ่นใจได้ บรรยากาศในการดูแลกันจะได้อบอุ่นขึ้นและอยู่กับเบาหวานอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี

 

 

ข้อมูลอ้างอิง : ดัดแปลงจาก Choose You Foods: Exchange Lists for Diabetes American Dietetic Association and American Diabetes Association, 2008. และฐานข้อมูลสารอาหารสถานบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

 

เอกหทัย แซ่เตีย

นักกำหนดอาหาร

(Some images used under license from Shutterstock.com.)





ดูดไขมัน วิธีลดหน้าท้อง สลายไขมันด้วยความเย็น คอเลสเตอรอล วิธีลดไขมันหน้าท้อง ไขมัน วิธีลดพุงผู้หญิง Coolsculpting Elite CoolSculpting vs Emsculpt วิธีลดพุง สลายไขมันต้นขา ลดไขมันหน้าท้อง นวดสลายไขมัน ผลไม้ลดความอ้วน ลดน้ำหนักเร่งด่วน อาหารคลีน กินคลีนลดน้ำหนัก ลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน กินคีโต วิธีลดความอ้วนเร็วที่สุด อาหารลดความอ้วน วิธีลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน วิธีลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน ลดความอ้วนเร่งด่วน ผลไม้ลดน้ำหนัก อาหารเสริมลดความอ้วน วิธีลดความอ้วน เมนูลดความอ้วน วิธีการสลายไขมัน ลดความอ้วน สลายไขมัน ลดน้ำหนัก สูตรลดน้ำหนัก Exilis Elite Thermage Body ออฟฟิศซินโดรม Inbody Vaginal Lift Morpheus Pro Oligio Body IV Drip Emsella เลเซอร์นอนกรน Indiba ปากกาลดน้ำหนัก Emsculpt CoolSculpting บทความดูแลรูปร่างและสุขภาพ บทความกระชับสัดส่วนรูปร่าง บทความน่ารู้ romrawin รมย์รวินท์ ดูดไขมัน ดึงหน้า ตาสองชั้น ทำตาสองชั้น เสริมจมูก ยกคิ้ว เสริมหน้าอก บทความศัลยกรรม วีเนียร์ บทความทันตกรรม สลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting Fit Firm Emsculpt สลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting Elite บทความลดน้ำหนัก ดีท็อกลำไส้ EIS BIO SCAN ICELAB IV DRIP ดริปวิตามิน บทความดูแลสุขภาพ Vaginal Lift P-SHOT O-Shot บทความสุขภาพเพศ Meso Hair LLLT ปลูกผมด้วยแสงเลเซอร์ ปลูกผมผู้ชาย ปลูกผมสำหรับผู้หญิง ปลูกผมถาวร ปลูกผม FUE ปลูกผม รักษาผมร่วง บทความรักษาผมร่วง ผมบาง บทความดูแลเส้นผม เลเซอร์รักแร้ขาว เลเซอร์ขน เลเซอร์บิกินี่ เลเซอร์ขนน้องสาว เลเซอร์ขนหน้า เลเซอร์บิกินี่ เลเซอร์ขนบราซิลเลี่ยน เลเซอร์ขนขา เลเซอร์หนวด เลเซอร์เครา เลเซอร์รักแร้ กำจัดขนถาวร เลเซอร์ขน บทความเลเซอร์กำจัดขน เลเซอร์รอยสิว Pico Laser Pico Majesty Pico Majesty Laser Reepot Laser Reepot บทความโปรแกรมหน้าใส NCTF 135 HA Rejuran Belotero Glassy Skin Juvederm Volite Gouri Exosome Harmonyca Profhilo Skinvive Sculptra vs ฟิลเลอร์ Sculptra บทความ Sculptra Radiesse บทความ Radiesse บทความฉีดหน้าใส UltraClear AviClear Laser AviClear Accure Laser Accure บทความโปรแกรมรักษาสิว ฟิลเลอร์คอ ฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า ฟิลเลอร์มือ ฟิลเลอร์หน้าใส ฟิลเลอร์ร่องแก้มราคา ฟิลเลอร์ยกหน้า ฟิลเลอร์หลุมสิว หลังฉีดฟิลเลอร์กี่วันหายบวม หลังฉีดฟิลเลอร์ หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ยกมุมปาก ฟิลเลอร์ปากกระจับ ฟิลเลอร์ปาก 1 CC ฟิลเลอร์จมูกราคา ฟิลเลอร์กรอบหน้า ฟิลเลอร์ที่ไหนดี ฟิลเลอร์น้องสาวกี่ CC ฟิลเลอร์ราคา ฟิลเลอร์จมูก ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ฟิลเลอร์แก้มส้ม ฟิลเลอร์แก้มตอบ ฟิลเลอร์น้องชาย ฟิลเลอร์น้องสาว ฟิลเลอร์คาง ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ฟิลเลอร์ บทความฟิลเลอร์ ฉีดโบลดริ้วรอยหางตา ฉีดโบหางตา ฉีดโบลิฟกรอบหน้า ฉีดโบหน้าผาก ฉีดโบยกมุมปาก ฉีดโบปีกจมูก ฉีดโบลดริ้วรอยระหว่างคิ้ว ฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตา ฉีดโบลดกราม ฉีดโบรักแร้ ฉีดโบลดริ้วรอย ดื้อโบลดริ้วรอย บทความโบลดริ้วรอย Volnewmer Linear Z ยกมุมปาก Morpheus Morpheus8 ลดร่องแก้ม Ultraformer III Ultraformer MPT Emface Hifu ยกกระชับหน้า Ultherapy Prime อัลเทอร่า Ulthera Thermage FLX BLUE Tip Thermage FLX Oligio บทความยกกระชับใบหน้า ร้อยไหมหน้าเรียว ไหมหน้าเรียว ร้อยไหมเหนียง ไหมเหนียง ร้อยไหมยกหางตา ไหมยกหางตา Foxy Eyes ร้อยไหมปีกจมูก ไหมปีกจมูก ร้อยไหมกรอบหน้า ไหมกรอบหน้า ร้อยไหมร่องแก้ม ไหมร่องแก้ม ร้อยไหมก้างปลา ไหมก้างปลา ร้อยไหมคอลลาเจน ไหมคอลลาเจน ร้อยไหมจมูก ร้อยไหม บทความร้อยไหม Apex