Haijai.com


ตรวจโรคตรวจสุขภาพด้วยตนเอง


 
เปิดอ่าน 8729

ตรวจโรคด้วยตนเอง

 

 

ปัจจุบันเทคโนโลยีและความรู้ทางการแพทย์ได้เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้โรคภัยไข้เจ็บได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างทันท่วงที ผู้คนจึงมีอายุยืนยาว นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพในเรื่องการรับประทานอาหาร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพบแพทย์ ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี การดูแลตัวเองและหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงเมื่ออยู่ที่บ้าน ก็นับว่ามีความสำคัญ เพราะเราสามารถตรวจหาความผิดปกติให้ตัวเองและคนรอบข้างได้ทุกวัน

 

 

การวัดดัชนีมวลกาย

 

การดูแลรูปร่างและน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน การวัดดัชนีมวลกาย สามารถทำได้ง่าย เพียงแค่ชั่งน้ำหนักและส่วนสูงอยู่เป็นประจำ ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือ BMI) เป็นค่าดัชนีที่คำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูง เพื่อใช้เปรียบเทียบความสมดุลระหว่างน้ำหนักตัวต่อความสูงของมนุษย์

 

โดยปกติ ให้ใช้น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม และส่วนสูงเป็นเมตร จะได้หน่วยเป็น กก./ม.(ยกกำลัง2) เกณฑ์ของดัชนีมวลกายมีดังนี้

 

 น้อยกว่า 18.5 (<18.5) แปลผลว่า ผอมเกินไป

 

 มากกว่าหรือเท่ากับ 18.5 แต่น้อยกว่า 25 (มากกว่าหรือเท่ากับ 18.5 แต่ < 25) แปลผลว่า เหมาะสม

 

 มากกว่าหรือเท่ากับ 25 แต่น้อยกว่า 30 (มากกว่าหรือเท่ากับ 25 แต่ < 30) แปลผลว่า น้ำหนักเกิน

 

 มากกว่าหรือเท่ากับ 40 แปลผลว่า อ้วนมากและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

 

การประเมินค่าดัชนีมวลกายนั้น จะต้องคำนึงถึงตัวแปรอื่นๆ เช่น มวลกล้ามเนื้อ มวลไขมัน ดังนั้นค่าดัชนีมวลกายจะไม่สามารถนำไปใช้ได้กับผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อมาก เช่น นักกีฬา นักเพาะกาย ที่มีน้ำหนักมากเกิน 100 กิโลกรัม แต่ไม่จัดอยู่ในขั้นอ้วนหรืออันตรายมาก

 

 

การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (ชีพจร)

 

ชีพจรเป็นแรงสั่นสะเทือนของกระแสเลือด เมื่อกระทบผนังหลอดเลือดในขณะที่หัวใจบีบตัว ทำให้ผนังของหลอดเลือดแดงขยายออกเป็นจังหวะ ค่าปกติของชีพจรในผู้ใหญ่ คือ 60-100 ครั้งต่อนาที โดยมีความแรงและจังหวะของชีพจรที่สม่ำเสมอทุกครั้ง

 

 

ตำแหน่งและวิธีการวัดชีพจร

 

ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของผู้ตรวจวางตรงตำแหน่งเส้นเลือดแดง โดยตำแหน่งที่นิยมมากที่สุด คือ บริเวณข้อมือด้านใน (บริเวณเส้นเลือดแดง Radial) เพราะเป็นที่ที่จับได้ง่ายและไม่รบกวนผู้ป่วย ให้กดหรือสัมผัสแรงพอประมาณจนได้ความรู้สึกของการเต้นของชีพจร นับจำนวนครั้งของชีพจรใน 1 นาที หลีกเลี่ยงการใช้นิ้วหัวแม่มือสัมผัส เพราะนิ้วหัวแม่มือมีชีพจรที่เต้นแรง อาจทำให้สับสนกับชีพจรที่วัดได้ และควรนับชีพจรในขณะพัก

 

 

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อชีพจร

 

 เมื่ออายุเพิ่มขึ้นอัตราการเต้นของชีพจรจะลดลง ในผู้ใหญ่อัตราการเต้นของชีพจรโดยเฉลี่ย 80 ครั้งต่อนาที

 

 ค่าเฉลี่ยของชีพจรในผู้ชายจะต่ำกว่าหญิงเล็กน้อย

 

 อัตราการเต้นของชีพจรจะเพิ่มขึ้น เมื่อมีปัจจัยดังนี้ ทำกิจกรรมต่างๆ หรือออกกำลังกาย มีไข้ มีอารมณ์เครียด ตื่นเต้น หรือตกใจ ใช้ยาหรือสารเสพติดบางชนิด

 

 ท่าทางมีผลต่อชีพจร คือ เมื่ออยู่ในท่ายืนหรือนั่ง ชีพจรจะมากขึ้น ส่วนท่านอนชีพจรจะลดลง

 

 โรคบางชนิด เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ จะทำให้ชีพจรเต้นเร็ว

 

 

ควรรีบไปพบแพทย์เมื่อใด

 

 ควรรีบไปพบแพทย์เมื่อวัดค่าชีพจรได้ไม่สม่ำเสมอ หรือค่าที่วัดได้ต่ำกว่า 60 หรือมากกว่า 120 ครั้งต่อนาที ร่วมกับมีอาการเหงื่อออก ใจสั่น แน่นหน้าอก เป็นลมหมดสติ

 

 

การตรวจการตั้งครรภ์

 

การทดสอบการตั้งครรภ์ใช้หลักการวัดระดับฮอร์โมน hCG ซึ่งจะเพิ่มระดับสูงขึ้นในขณะกำลังตั้งครรภ์ โดยปกติจะใช้ระยะเวลาประมาณ 6 วันหลังจากการปฏิสนธิของไข่และอสุจิ การทดสอบการตั้งครรภ์นั้นมีอยู่ 2 แบบ คือ

 

 การตรวจปัสสาวะ ชุดทดสอบการตั้งครรภ์จะให้ผลแม่นยำที่สุด เมื่อทำการทดสอบหลังจากรอบเดือนขาดไปแล้ว 1 สัปดาห์และทดสอบด้วยน้ำปัสสาวะแรกหลังจากตื่นนอน อย่างไรก็ตามผลการทดสอบอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เพราะโอกาสที่ตัวอ่อนจะฝังตัวบนผนังมดลูกหลังจากประจำเดือนไม่มาวันแรก มีสูงถึงร้อยละ 10 ซึ่งในกรณีนี้ ระดับฮอร์โมน hCG อาจจะยังไม่สูงพอที่จะวัดได้

 

 

 การตรวจเลือด วิธีการเจาะเลือดสามารถทดสอบการตั้งครรภ์ได้แม้ฮอร์โมน hCG มีระดับต่ำ การทดสอบเลือดนี้ สามารถทดสอบได้ตั้งแต่ช่วงวันที่ 6-8 หลังจากไข่ตก ขณะที่การทดสอบปัสสาวะนั้น ปกติจะทำการทดสอบหลังจากไข่ตกแล้วประมาณ 14-21 วัน

 

 

ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยน้ำปัสสาวะ

 

ส่วนใหญ่จะมีช่องแสดงผล 2 ช่อง คือ “ควบคุม” และ “ผลการทดสอบ” เมื่อปรากฏแถบสีหรือสัญลักษณ์บนช่อง “ควบคุม” นั่นแสดงให้เห็นว่า ชุดทดสอบนี้ทำงานปกติ ถ้าในช่อง “ควบคุม” ไม่ปรากฏแถบหรือสัญลักษณ์ใดๆ ที่ระบุไว้ตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์แล้ว หมายความว่าชุดทดสอบนั้นเสีย

 

 

ถ้าช่อง “ควบคุม” แสดงแถบสีปกติแล้วและมีแถบหรือสัญลักษณ์อีกอันหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่ช่อง “ผลการทดสอบ” หมายความว่าผลการทดสอบเป็นบวก แสดงว่ากำลังตั้งครรภ์ ถ้าไม่ปรากฏแถบสีหรือสัญลักษณ์ในช่อง “ผลการทดสอบ” ตามคู่มือการทดสอบส่วนใหญ่แล้วผลคือไม่ตั้งครรภ์ แต่เพื่อให้เป็นที่แน่ใจที่สุดว่า ไม่ตั้งครรภ์ท่านควรทำการทดสอบอีกครั้ง หลังจากการทดสอบครั้งแรก 2-3 วัน หรือพบแพทย์เพื่อทำการทดสอบเลือดเพื่อยืนยัน

 

 ผลบวกปลอม เกิดจากการที่ฮอร์โมน hCG ถูกสร้างขึ้นมามากผิดปกติแม้ไม่ได้กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งอาจจะเกิดจากถุงน้ำที่รังไข่ การตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือเข้าสู่วัยทอง

 

 

 ผลลบปลอม เกิดจากทดสอบการตั้งครรภ์ที่เร็วเกินไปหรือทดสอบด้วย น้ำปัสสาวะที่เจือจาง ส่วนการรับประทานยาคุมกำเนิดหรือยาปฏิชีวนะไม่ส่งผลกระทบต่อการทดสอบการตั้งครรภ์

 

 

อาการที่แสดงว่ากำลังครรภ์

 

 ขาดประจำเดือน

 

 เวียนศีรษะ คลื่นไส้และอาเจียน

 

 คัดตึงเต้านม

 

 ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในเวลากลางคืน

 

 

การมีสุขภาพดีนั้นไม่ใช่เรื่องที่ฝากไว้ที่บุคลากรทางการแพทย์เพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องอาศัยการเอาใจใส่ของประชาชนด้วย ทั้งการปฏิบัติตามหลักสุขบัญญัติและการหมั่นสังเกตตนเอง ตามวิธีที่ได้กล่าวไว้แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ด้วยตนเองอย่างง่ายดาย เมื่อทำเช่นนี้การมีสุขภาพที่ดีและมีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมย่อมไม่ใช่เรื่องยาก

 

 

นพ.คมน์สิทธิ์ เดชะรินทร์

แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป

(Some images used under license from Shutterstock.com.)