Haijai.com


ยืดอายุดวงตา


 
เปิดอ่าน 3166

ยืดอายุดวงตา

 

 

ความทันสมัยของเทคโนโลยีการสื่อสารเข้ามามีผลต่อชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ คนจำนวนไม่น้อยใช้สายตาอยู่กับการจ้องมองจอภาพ ไม่ว่าจะเป็นจอโทรทัศน์ สมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้การใช้งานที่มากเกินไป จะส่งผลให้เกิดปัญหาต่อดวงตาตามมาได้ เช่น ภาวะตาแห้ง แสบตา เคืองตา ตาพร่า ปวดตา เมื่อยล้าตา และปวดศีรษะ เป็นต้น ซึ่งวิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุดก็คือ การใช้งานแต่พอดี

 

 

ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในนั้นคือเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แทบเลต คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในวัยรุ่นและวัยทำงาน หรือแม้แต่ในผู้สูงอายุก็มีแนวโน้มหันมาใช้เทคโนโลยีเหล่านี้กันมากขึ้น ท่ามกลางประโยชน์มากมายและความสะดวกสบายที่ได้รับ ในอีกมุมหนึ่งอุปกรณ์พวกนี้ยังส่งผลกระทบต่อดวงตาได้มากอีกด้วย หากมีการใช้งานมากจนเกินไปหรือไม่ถูกวิธี ผลกระทบดังกล่าว ได้แก่

 

 

ผลกระทบต่อกล้ามเนื้อตา

 

การอ่านหรือมองภาพผ่านจอภาพต่างๆ จะทำให้กล้ามเนื้อตาล้าได้ง่ายกว่าการอ่านหนังสือแบบทั่วๆ ไป ยิ่งถ้ามีการใช้งานจอภาพเหล่านั้นเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งรู้สึกไม่สบายตามากขึ้น เนื่องจากการเพ่งทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนักขึ้น ยิ่งในผู้ที่มีสายตาผิดปกติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เช่น สายตายาว เอียง หรือสายตายาวในผู้สูงอายุ จะมีอาการปวดตา เมื่อยล้าตาได้เร็วกว่าคนปกติ อาการที่สังเกตได้ว่าเราใช้งานมากเกินไปคือ หลังจากเลิกใช้งานแล้วเงยหน้าขึ้นมา มองเห็นภาพเบลอๆ ตาพร่า เคืองตา แสบตา น้ำตาไหล ปวดบริเวณรอบดวงตา นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราใช้งานอุปกรณ์เหล่านั้นมากเกินไป

 

 

วิธีแก้ไขที่ตรงจุดที่สุดคือ “การใช้งานแต่พอดี” และควรพักสายตาจากการมองจอทุกๆ 20-30 นาที ละไปทำอย่างอื่นหรือหันไปพูดคุยกับคนอื่นๆ บ้าง สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติทางสายตา ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเรื่อง แว่นสายตาหรือการแก้ไขค่าสายตาด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อให้เหมาะแก่การใช้สายตาในระยะใกล้

 

 

การเกิดภาวะตาแห้ง

 

สาเหตุหลักของการเกิดภาวะตาแห้งมีด้วยกัน 2 สาเหตุ คือ การเพ่งและปริมาณแสงที่เข้าสู่ตา กับ อัตราการกระพริบตาที่ลดลง ปกติแล้วการกระพริบตาจะช่วยเกลี่ยน้ำตาให้คลุมผิวตาให้มีความชุ่มชื้น แต่เวลาที่เราจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆ การกระพริบตาจะลดลง ทำให้เกิดภาวะตาแห้ง ส่งผลเสียต่อกระจกตาได้ ในกรณีนี้อาจใช้น้ำตาเทียมหยอดช่วยได้ แต่ก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ นอกจากนี้ควรปรับแสงและความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม ให้อ่านแล้วสบายตา รวมถึงปรับความสว่างของห้องด้วย เพราะแสงสว่างภายในห้องหากจ้าเกินไป จะส่งผลให้ตาล้าได้ง่าย และไม่ควรใช้สมาร์ทโฟนในที่มืด เนื่องจากความจ้าของแสงจากอุปกรณ์ที่สะท้อนเข้าสู่ดวงตาจะมีมากกว่าการใช้งานในพื้นที่ที่มีความสว่างในการใช้งานคอมพิวเตอร์ ควรจัดจอภาพให้อยู่ในระยะที่สบายตา ในผู้สูงอายุอาจขยายขนาดตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้นเพื่อลดการเพ่ง ปัจจุบันมีการผลิตแผ่นแปะจอภาพเพื่อลดความเข้มข้นของแสง ซึ่งก็พอช่วยได้บ้าง แต่อย่างไรก็ตามวิธีนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด เพราะไม่ได้แก้ปัญหาอัตราการกระพริบตา ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดภาวะตาแห้ง ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการพึงระลึกและเตือนตัวเองอยู่เสมอ ในเรื่องของความพอดีในการใช้งาน

 

 

นอกจากปัญหาดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีอีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อยในผู้ที่มารับการรักษากับจักษุแพทย์ นั่นคือ “เรื่องคอนแทคเลนส์” โดยสาเหตุที่นำพาผู้ป่วยมาพบจักษุแพทย์มากที่สุดแบ่งได้เป็น 3 เรื่องหลักๆ คือ การใช้งานคอนแทคเลนส์มากเกินไป การใช้คอนแทคเลนส์ที่ไม่เหมาะกับดวงตา และปัญหาตาติดเชื้อ

 

 การใช้งานคอนแทคเลนส์มากเกินไป อาการเริ่มต้นที่ทำให้ผู้ใส่คอนแทคเลนส์มาพบจักษุแพทย์ คือ contact lens intolerance อธิบายให้เห็นภาพอย่างง่ายๆ คือ จากเดิมที่สามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้นาน 12 ชั่วโมงโดยไม่รู้สึกอะไร กลับกลายเป็นใส่ได้ประมาณ 10 ชั่วโมง แล้วรู้สึกไม่สบายตา เหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากคอนแทคเลนส์ก็เปรียบเสมือนพลาสติกชิ้นหนึ่งที่แปะไว้บนดวงตา ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงแต่อาศัยได้รับสารอาหารจากน้ำตาและน้ำในลูกตา การที่มีพลาสติกมาแปะไว้ จึงทำให้ตาได้รับสารอาหารน้อยลง ถึงแม้ว่าผู้ใส่จะกระพริบตาช่วยให้น้ำตาเข้าไปหล่อเลี้ยงดวงตาได้บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่ากับการที่ไม่ใส่คอนแทคเลนส์ ดังนั้นการใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน จึงอาจทำให้กระจกตาขาดออกซิเจน เกิดอาการแสบ คันและเคืองตาได้ วิธีแก้ไขสามารถทำได้โดย

 

 ลดการใช้งานคอนแทคเลนส์ เช่น งดใส่ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือไม่ใส่ขณะที่อยู่บ้าน

 

 

 เลือกคอนแทคเลนส์ที่ทำจากวัสดุซึ่งออกซิเจนสามารถซึมผ่านได้ดี

 

 

 ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์นอน เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะการใส่คอนแทคเลนส์นอนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดตาติดเชื้อ ในกรณีที่ใส่คอนแทคเลนส์นอนในตอนกลางคืน เพื่อปรับค่าสายตาให้ดีขึ้นในเช้าวันต่อมา ซึ่งจัดว่าเป็น

 

 

 การใช้คอนแทคเลนส์ที่ไม่เหมาะกับดวงตา บางคนมีปัญหาทางสายตาที่ไม่เหมาะที่จะแก้ด้วยการใส่คอนแทคเลนส์ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีสายตาเอียง คอนแทคเลนส์ที่ใส่อาจมีค่าสายตาไม่ตรงหรือแก้ไม่ได้ทั้งหมด ใช้คอนแทคเลนส์ที่มีค่าความโค้ง (BC: best curve) หรือเส้นผ่าศูนย์กลางที่ไม่เหมาะสมกับตา ในกรณีนี้แนะนำให้ปรึกษาจักษุแพทย์

 

 

 การติดเชื้อ ตาติดเชื้อเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงหลักๆ ได้แก่ การใช้งานที่มากเกินไป เช่น ใส่วันละหลายชั่วโมงโดยไม่ได้ถอด การนำคอนแทคเลนส์รายเดือนมาใส่ทีละหลายๆ เดือน การใส่คอนแทคเลนส์ตอนนอน รวมถึงเรื่องของการรักษาความสะอาด เช่น การล้างคอนแทคเลนส์ด้วยน้ำประปา ไม่เปลี่ยนตลับใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานานๆ ซึ่งผู้ใช้ควรใส่ใจเรื่องการทำความสะอาดด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดให้เหมาะสมกับชนิดของคอนแทคเลนส์ หรืออาจพิจารณาเปลี่ยนมาใช้คอนแทคเลนส์รายวัน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดูแลความสะอาดไม่ดี

 

 

สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่า ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญที่ต้องได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดีในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยเด็ก ซึ่งมีความสำคัญมาก ต้องเริ่มดูแลกันตั้งแต่แรกเกิด พ่อแม่ต้องหมั่นสังเกตพัฒจาการของลูก เช่น ดูว่าลูกมองตามวัตถุที่อยู่ตรงหน้าหรือไม่ มีตาเหล่ ตาเข หรือมีน้ำตาไหลไหม หยีตาหรือขยี้ตาบ่อยเกินไปหรือเปล่า ถ้าอยู่ในวัยเรียน พ่อแม่ควรต้องซักถามลูกบ้างว่ามองเห็นกระดานดำหรือไม่ เรียนตามเพื่อนทันไหม เนื่องจากมีบางกรณีที่ผลการเรียนของเด็กออกมาไม่ดี เรียนไม่ทัน เพราะมองเห็นกระดาษดำไม่ชัด ประเด็นสำคัญมากอีกอันหนึ่งก็คือ เด็กที่มีปัญหาด้านสายตา เช่น มีตาเข สายตาสั้น ยาว เอียงมากๆ หรือมีความผิดปกติต่างๆ เกี่ยวกับสายตาแล้วไม่ได้รับการแก้ไขให้ทัน ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม กรณีเช่นนี้อาจทำให้เด็กเกิดภาวะตาขี้เกียจ (Amblyopia) และสูญเสียโอกาสที่จะมีการมองเห็นที่ชัดเจนเป็นปกติไปตลอดชีวิต สำหรับในวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งเป็นวัยที่ค่อนข้างตรงกับเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าสิ่งสำคัยที่สุดคือเรื่องของ “ความพอดี” ซึ่งไม่มีใครรู้และดูแลได้ดีไปกว่าตัวเราเอง จึงควรหมั่นเตือนตัวเองอยู่เสมอ ในส่วนของผู้สูงอายุซึ่งเป็นวัยที่มักมีโรคประจำตัวหรือโรคที่เกิดจากความเสื่อมตามอายุ สิ่งสำคัญสำหรับคนวัยนี้คือ “การตรวจคัดกรองหาความผิดปกติของดวงตา” ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคัดกรองโรคต้อหิน การตรวจคัดกรองภาวะเบาหวาน ขึ้นจอตาในคนที่เป็นโรคเบาหวาน ถ้าตรวจพบเสียแต่เนิ่นๆ จะได้แก้ไขรักษาได้อย่างทันท่วงที เพื่อคุณภาพการมองเห็นที่ดีจะได้อยู่กับเราไปนานๆ

 

 

พันตรี นพ.ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์

จักษุแพทย์

(Some images used under license from Shutterstock.com.)