© 2017 Copyright - Haijai.com
เช็คความเสี่ยงภาวะกระดูกพรุน
อวัยวะภายในร่างกายหากเราไม่หมั่นตรวจล่ะก็ จะรู้ได้อย่างไรว่าทุกอย่างปกติดี โดยเฉพาะกับกระดูกและข้อ ถ้าไม่ตรวจก็ไม่มีทางรู้เลยว่ากระดูกเราพรุนมากน้อยแค่ไหน เสี่ยงต่อการเปราะ หัก ง่ายหรือไม่ เมื่อไม่รู้สาเหตุก็ไม่ร็วิธีป้องกันเช่นกัน
เข้าใจองค์ประกอบของกระดูก
ในร่างกายของเรามีกระดูกอยู่หลากหลายชนิด มีทั้งกระดูกที่มีลักษณะเป็นแท่งยาวๆ เช่น กระดูกแขน ขา กระดูกที่เป็นชิ้นเหลี่ยม เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกตามข้อมือ ข้อเท้า หรือกระดูกที่มีส่วนประกอบที่หนา หรือที่เรียกว่า กระดูกเนื้อแน่น คือ กระดูกทึบ (Cortical Bone) และกระดูกที่มีลักษณะคล้ายรังผึ้ง (Cancellous Bone) ซึ่งเพศหญิงเสี่ยงต่อกระดูกหักมากเป็น 3 เท่าของเพศชาย เพราะกระดูกบางและพรุนมากกว่า ในกระดูกก็ประกอบไปด้วย
• เยื่อหุ้มกระดูก เป็นเยื่อหนาๆ โดยเฉฑาะกระดูกที่มีลักษณะยาว ในเด็กจะมีอยู่มากกว่าผู้ใหญ่ มีไว้เพื่อความเจริญเติบโตของกระดูก และซ่อมแซ่มกระดูกเมื่อเวลากระดูกหักได้ด้วย
• ไขกระดูก มีหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือด มีองค์ประกอบของเซลล์ในการซ่อมแซมให้กระดูกหักสามารถยึดติดกันได้
• ข้อ เป็นองค์ประกอบของร่างกายที่ทำให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้
• เอ็น เป็นอวัยวะที่ซับซ้อน โดยเฉพาะข้อเข่า เพื่อให้เกิดความมั่นคง
• กล้ามเนื้อ เป็นส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อพิเศษ เป็นส่วนที่ยึดติดระหว่างกระดูก 2 ชิ้น เช่น กล้ามเนื้อที่เข่าจะยึดติดกับกระดูกอุ้งเชิงกราน อีกส่วนจะยึดติดบริเวณกระดูกบริเวณข้อเข่า เพื่อให้สามารถงอ เหยียดได้
• เส้นประสาท เป็นอวัยวะที่คอยรับคำสั่งจากสมองเพื่อส่งต่อไป ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของแขน ขา ลำตัว และเป็นส่วนที่ให้ความรู้สึกที่ผิวหนัง
• หลอดเลือด เพื่อนำโ,หิตไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและส่วนต่างๆ ของกระดูกและข้อ รวมถึงสมอง และข้อ
• ฮอร์โมน คือ สารคัดหลั่งจากต่อมไร้ท่อ เพื่อให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ เช่น การเจริญเติบโตของร่างกาย ทำหน้าที่ต่างๆ ของเพศ และประกอบกับควบคุมแคลเซียมที่ไปจับกระดูก
สารที่เป็นส่วนประกอบของกระดูก มีแคลเซียม แมกนีเซียม เหล็กและอื่นๆ เช่น อิเล็กโตรไลท์ โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียมจะจับกับกระดูกต้องอยู่ในเส้นเลือด ซึ่งได้จากการรับประทานอาหารประเภทแคลเซียมโดยตรง แล้วจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสโลหิต
กำเนิดของกระดูกและความหนาแน่นของกระดูก
เมื่อเราอยู่ในท้องแม่ กระดูกเราจะเป็นกระดูกอ่อนก่อน แล้วแคลเซียมจะจับมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งใช้เวลาตั้งแต่เกิดจนไปถึงวัยรุ่น 16-17 ปี เมื่อพ้นวัย 25 ปี แล้วปริมาณแคลเซียมที่จะไปจับกระดูกจะลดลง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้กระดูกบางหรือพรุน คือ
• ฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิง การหมดประจำเดือนเร็ว หรือวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโรเจนลดลง ซึ่งจะทำให้กระดูกบางหรือพรุนได้ และมีโอกาสเกิดกระดูกสันหลังยุบตัวจนหลังโก่ง
• พันธุกรรมและเพศ เพศหญิงรูปร่างบางน้ำหนักตัวน้อยมากไป
• เชื้อชาติ ชาติที่ไม่ค่อยเป็นโรคกระดูกพรุน คือ ชาวนิโกร
• อายุ ร่างกายมีมวลเนื้อกระดูกสูงสุด เมื่ออายุ 25 ปี และความหนาแน่นของกระดูกจะคงที่ไปถึงอายุ 40 ปี
• อาหาร รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมน้อย และอาหารที่มีปริมาณไขมันจัด
• ชีวิตประจำวัน ไม่เคยถูกแสงแดดช่วงเวลา 10.00-14.00 น. เป็นช่วงแสงแดดจัด หากโดนแดดนานอาจเป็นมะเร็งผิวหนังได้ จะให้ดีควรโดนแดดก่อนเที่ยง หรือหลังจาก 15.00 น.
• แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ชะลอการดูดซึมของแคลเซียม
• การได้รับยาบางชนิด เช่น ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ทำให้กระดูกบางพรุน หรือกล้ามเนื้อลีบได้
ภาวะกระดูกพรุน
ภาวะกระดูกพรุน เกิดจากความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลง ร่วมกับความเสื่อมของโครงสร้างภายในกระดูกด้วย นอกจากความแข็งแรงของกระดูกจะลดลงแล้ว ยังทำให้กระดูกเปราะ หักง่าย แต่หากกระดูกสันหลังหักยุบ อาจเกิดการกดทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ และมีโอกาสเกิดกระดูกสะโพกหักง่าย
การรับประทานแคลเซียมเข้าไปเป็นจำนวนมาก ก็อาจไม่ดูดซึมดีกว่าเดิมได้ เนื่องจากขาดฮอร์โมน และวิตามินดีเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้มีการดูดซึมแคลเซียมไปจับที่กระดูก
รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคกระดูกพรุน
เราจะทราบมวลหนาแน่นของกระดูกได้จากากรตรวจวัดจากแพทย์ โดยทั่วไปมักนิยมตรวจกระดูกที่มีโอกาสหักได้ง่าย 3 ตำแหน่ง ได้แก่ กระดูกสันหลังส่วนเอว (Lumbar Spine) กระดูกข้อสะโพก (Hip) และกระดูกปลายแขน หรือข้อมือ (Wrist) ถ้าค่าน้อยกว่า -2.5 แปลว่ากระดูกพรุนแล้ว ส่วนใหญ่จะวัดจากส่วนกระดูกสะโพก และกระดูกสันหลัง เพราะเป็นตัวที่ให้ดัชนีชี้บ่งค่อนข้างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในช่วงวัยหมดประจำเดือน จะเริ่มเข้าสู่สภาวะกระดูกบาง
เช็คค่าความหนาแน่นมวลกระดูก
ค่าความหนาแน่นมวลกระดูกจะคำนวณเป็นค่าที่เรียกว่า T- Score (T) ซึ่งใช้เป็นค่าวินิจฉัยภาวะความหนาแน่นมวลกระดูกเช็คผลได้ดังนี้
• ค่า T Score ที่มากกว่า -1 ถือว่าความหนาแน่นกระดูกปกติ
• ค่า T Score ที่อยู่ระหว่าง -1 ถึง -2.5 คือ กระดูกบาง (Osteopenia)
• ค่า T Score ที่น้อยกว่า -2.5 คือ กระดูกพรุน (Osteoporosis)
วิธีรักษา
• กรณีที่กระดูกไม่หัก จะให้ทานแคลเซียมตรวจร่างกายและรักษาตามอาการ
• กรณีที่กระดูกเคลื่อนที่ไม่มาก และไม่ต้องการผ่าตัด จะทำให้การเข้าเฝือกให้ผู้ป่วย ซึ่งจะใช้ระยะเวลาตั้งแต่ 2-3 เดือน หรือมากกว่านั้น จนกว่าจะติดประสานกัน
• สำหรับกระดูกเคลื่อนที่มากๆ เช่น กระดูกสะโพกหัก แพทย์จะแนะนำให้ผ่า เพื่อให้กระดูกสมานกันเร็วขึ้น ไม่ต้องเข้าเฝือกนาน อาจจะนำเหล็กไปยึด โดยเหล็กสามารถอยู่ถาวรได้ หรือชั่วคราวก็ได้
ภาวะกระดูกพรุนป้องกันได้
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ (อย่างน้อยครั้งละ 20-30 นาที) จะช่วยให้มวลกระดูกมีความแข็งแรงและหนาแน่นมากขึ้น
• เปลี่ยนชีวิตประจำวัน การออกไปถูกแสงแดดบ้าง
• เลี่ยงแอลกอฮอล์ บุหรี่ สารเทนนินในบุหรี่
• รับประทานอาหารกลุ่มแคลเซียม หรือวิตามินดี ให้เพียงพอ เช่น นม ปลากรอบ เนยแข็ง เห็ดหอม ถั่วเหลือง ถั่วแดง กุ้งแห้ง และผักใบเขียว เช่น ใบชะพลู ผักคะน้า ผักกระเฉด ยอดสะเดา ใบโหระพา ลดอาหารประเภทไขมันจัดที่ทำให้กระดูกบาง
• ป้องกันการขาดฮอร์โมนเพศ ด้วยการปรึกษาแพทย์ เพื่อเข้ารับการตรวจร่างกาย และรับฮอร์โมนทดแทนเป็นประจำ
ผู้ป่วยกระดูกพรุนควรออกกำลังกายหรือไม่?
ควรออกกำลังกาย ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง ส่วนใหญ่ระดับความรุนแรงจะอยู่ช่วงอายุ 70 ปี ขึ้นไป และควรระมัดระวังอย่าให้เกิดการหกล้ม
การทำให้กระดูกแข็งแรงก็เหมือนเราฝากเงินในธนาคาร ก็คือนำแคลเซียมไปฝากไว้กับกระดูก หากเราแข็งแรงและออมไว้ตั้งแต่เริ่มแรก กระดูกก็สามารถนำแคลเซียมออกมาใช้ได้ในยามจำเป็น โรคกระดูกพรุนเราป้องกันได้
ศาสตราจารย์เกียรติคุณนพ. เจริญ โชติกวณิชย์
ศัลยแพทย์กระดูกสันหลังและข้อ
โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์
(Some images used under license from Shutterstock.com.)