Haijai.com


ยารักษา สิว มีกี่แบบ


 
เปิดอ่าน 2815

ยารักษาสิว

 

 

สิวเกิดได้ทุกช่วงวัยและมีผลต่อคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในวัยรุ่น การมีสิวบนใยหน้านับเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะส่งผลต่อภาพลักษณ์ภายนอก ดูไม่สวย ไม่หล่อ รู้สึกอาย และไม่มั่นใจที่จะออกสังคม อย่ากระนั้นเลย เรามาทำความรู้จักเรื่องสิวและการรักษากันดีกว่า ทั้งนี้การรักษาจะต้องทำตามปัจจัยที่ทำให้เกิด ซึ่งอาจจะมีมากกว่าหนึ่งปัจจัยที่เป็นสาเหตุของสิว และอาจต้องใช้ยาหลายตัวที่ออกฤทธิ์ต่างกันในการรักษา

 

 

สิวมีกี่แบบ

 

เมื่อแบ่งตามลักษณะอาการจะแบ่งเป็นชนิดอักเสบและไม่อักเสบ แต่ถ้าแบ่งตามความรุนแรงจะแบ่งได้เป็นรุนแรงน้อย ปานกลาง และรุนแรงมาก ผู้หญิงหรือผู้ชายต่างก็เป็นสิวได้ทั้งนั้น ในผู้หญิงสิวมักจะเกิดในช่วงอายุ 14-17 ปี ส่วนผู้ชายจะเกิดสิวในช่วงอายุ 16-19 ปี ความรุนแรงของสิวจะมากขึ้น 3-5 ปี หลังจากเป็นสิว และจะหายไปในช่วง 20-25 ปี นับเป็นความโชคดีที่ร้อยละ 85 ของคนที่เป็นสิวจะเป็นชนิดไม่รุนแรง และมีเพียงร้อยละ 15 ที่เป็นชนิดรุนแรง

 

 

มียาใช้รักษาสิวบ้างไหม

 

การรักษาสิวหากเป็นเล็กน้อยใช้เพียงยาทาบนผิวหนังที่เป็นสิวก็สามารถรักษาสิวได้ แต่ถ้าเป็นชนิดปานกลางควรใช้ยาทาร่วมกับยารับประทาน ซึ่งควรขอรับคำปรึกษาจากเภสัชกร ถ้าหากเป็นสิวชนิดรุนแรงควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนัง ซึ่งแพทย์จะมีวิธีการรักษาเสริม เรียกว่า adjunctive therapy

 

 

ยารักษาสิวที่ใช้ทาบนผิวหนังมีตัวยาที่ออกฤทธิ์ได้เป็น 3 แบบ ได้แก่ เพิ่มการหลุดลอกของผิวหนัง ลดการอักเสบของสิว และ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes ที่เป็นสาเหตุของสิว

 

 

ส่วนยาชนิดรับประทานที่ใช้รักษาสิวมีตัวยาที่ออกฤทธิ์เป็น 3 แบบเช่นกัน ได้แก่ ลดการอักเสบของสิว ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes ที่เป็นสาเหตุของสิว และขัดขวางการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนที่ทำให้เป็นสิว

 

 

ปัจจุบันมีการนำวิธีการรักษาเสริมมาใช้รักษาสิวด้วย ได้แก่ laser therapy และ light therapy มักนำมาเสริมในการรักษาสิวอักเสบ โดยมีกลไกคือลดการสร้างไขมัน (sebum) ที่ผิวหนังบริเวณใบหน้า ฆ่าเชื้อ Propionibacterium acnes และลดการอักเสบ เป็นต้น ซึ่งต้องพิจารณาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

 

 

ยาทารักษาสิวมีวิธีใช้อย่างไร

 

 ยาทาที่เพิ่มการหลุดลอกของผิวหนัง ผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายจะเป็นตัวยาชื่อว่าเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) ซาลิไซลิคแอซิด (salicylic acid) เป็นต้น เมื่อทายาไว้บนผิวหนัง ยาจะระคายเคืองต่อผิวหนัง ทำให้ผิวหนังลอกหลุดเร็วขึ้น ซึ่งจะเอาหัวสิวหลุดลอกออกไปด้วย ทำให้ปริมาณหัวสิวลดลงในระยะแรกของการใช้ยา อาจจะทำให้ผิวหนังแดงอักเสบ จึงควรจะเริ่มใช้ยาในขนาดความเข้มข้นต่ำๆ ทายาทิ้งไว้เป็นระยะเวลาสั้นๆ เช่น 5-10 นาที แล้วล้างออก เมื่อผิวหนังทนต่อยาจึงเพิ่มความเข้มข้นและทาไว้นานขึ้น จนไม่ต้องล้างออก

 

 

ยาทาอีกชนิดหนึ่งคือ อนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ มีชื่อว่าเตรติโนอิน (tretinoin) เป็นยารักษาสิวที่ให้ผลค่อนข้างดี ชนิดยาทาภายนอกจะเป็นยาละลายขุย ยานี้จะก่ออาการระคายเคืองต่อผิวหนัง ทำให้ผิวหนังแดง แห้ง ลอกเป็นขุย ดังนั้น จึงต้องทายาในขนาดความเข้มข้นต่ำๆ และทาก่อนนอน เมื่อทายาแล้วให้รีบดับไฟเข้านอนทันที เมื่อใช้เตรติโนอินร่วมกับเบนโซอิลเฟอร์ออกไซด์ ให้ใช้เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ทาในตอนเช้า ส่วนเตรติโนอินให้ทาก่อนนอน

 

 

 ยาทาที่เป็นยาปฏิชีวนะ ได้แก่ azelaic acid, erythromycin solution แบคทีเรีย Propionibacterium acnes ที่เป็นสาเหตุของการเป็นสิวอักเสบ เห็นเป็นตุ่มหนอง แต่กว่าจะเห็นผลก็ต้องใช้ยาไปนานหลายสัปดาห์

 

 

ยารับประทานรักษาสิวมีบ้างไหม ใช้อย่างไร

 

 ยารับประทานที่เป็นยาปฏิชีวนะ ได้แก่ เตตร้าไซคลิน (tetracycline) อะม๊อกซี่ซิลลิน (amoxicillin) ใช้รักษาสิวอักเสบที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes การรับประทานยาเตตร้าไซคลนิต้องไม่รับประทานพร้อมนมหรือน้ำแร่ ส่วนการรับประทานยาอะม๊อกซี่ซิลลินให้รับประทานตอนท้องว่าง

 

 

 ยารับประทานที่เป็นยาลดการอักเสบของสิวและเพิ่มการขับคอมีโดน (comedone) มีตัวยาเพียงชนิดเดียว ซึ่งสามัญทางยาว่าไอโสเตรติโนอิน (isotretinoin) หรือ เรติโนอิกแอซิด (retinoic acid) ผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายมีหลายยี่ห้อ ยาไอโสเตรติโนอินใช้รักษาสิวชนิดดื้อต่อการรักษาชนิดอื่น ยานี้มีกลไกการออกฤทธิ์ โดยกดการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผลิตไขมันที่ผิวหนังลดลง ลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes ลดการอักเสบของสิว และยับยั้งการสร้างคอมีโดน (สิวที่เกิดจากการอุดตันของต่อมขุมขน) นอกจากนี้ยายังมีฤทธิ์ทำให้คอมีโดนยุบตัว โดยทำให้คอมีโดนที่เป็นอยู่แล้วเปลี่ยนสภาพให้หลวมและหลุดออก ทำให้สิวหัวขาว (closed comedone) เปลี่ยนเป็นสิวหัวดำ (open comedone) และหลุดออกไป

 

 

แม้ยานี้จะดูให้ผลการรักษาดี แต่ก็มีผลข้างเคียงมากจึงไม่แนะนำให้ซื้อรับประทานเอง ผลข้างเคียงที่พบได้คือปากแห้ง ผิวแห้งแตก ผมร่วง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ คลื่นไส้อาเจียน ปวดกระดูก ปวดหัว สำหรับหญิงมีครรภ์ก็อาจจะทำให้เด็กเกิดมาพิการและแท้ง และแม้ว่าเด็กทารกที่คลอดออกมาจะมีความปกติ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะพบความบกพร่องทางสมองและเชาว์ปัญญาได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้หญิงที่จะรับประทานยาไอโสเตรติโนอิน แพทย์จะต้องตรวจว่าหญิงผู้นั้นตั้งครรภ์หรือไม่ก่อน หากไม่ตั้งครรภ์ก็จะต้องทำการคุมกำเนิดให้หญิงผู้นั้นก่อน แล้วให้ยานี้รับประทานไปอย่างน้อย 3 เดือน และคุมกำเนิดตลอดระยะเวลาที่ใช้ยาตัวนี้ในการรักษา หากหญิงผู้นั้นต้องการมีบุตรจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องหยุดรับประทานยาไอโสเตรติโนอินล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน ถึง 1 ปี จึงจะมีเพศสัมพันธ์และตั้งครรภ์ได้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ทารกในครรภ์ หญิงให้นมบุตรก็ไม่ควรรับประทานยาไอโสเตรติโนอิน เพราะตัวยาจะออกมากับน้ำนมและทำให้ทารกได้รับยานี้ไปด้วย นอกจากนี้ผู้ที่รับประทานยาไอโสเตรติโนอินอยู่ ต้องไม่บริจาคเลือดทั้งในระหว่างที่รับประทานยา และจนกระทั่งหลังจากหยุดรับประทนยาไปแล้ว 1 เดือน

 

 

 ยาฮอร์โมน (hormone) มักเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) ที่ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโตรเจน ทำให้มีการสร้างไขมันที่ผิวหนังลดลง แต่การใช้ต้องระวังผลไม่พึงประสงค์ของเอสโตรเจน เช่น มะเร็งเต้านม จะเกิดขึ้นได้ ฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่มีอยู่ในยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมรวม ซึ่งสามารถนำมาใช้รักษาสิวได้ และนิยมมากกว่าการใช้ยาเม็ดที่เป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนเดี่ยวๆ เนื่องจากผลไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีน้อยกว่าผลไม่พึงประสงค์ ที่เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนเดี่ยวๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยาเม็ดคุมกำเนิดก่ออาการข้างเคียงหลายประการ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหักตัวเพิ่ม ตึงเต้านม เจ็บคัดเต้านม จึงให้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด เพื่อรักษาสิวเมื่อยาอื่นไม่ให้ผลในการรักษา

 

 

นอกจากนี้ยังมียารับประทานที่เป็นสเตียรอยด์ จะใช้ในกรณีที่เป็นสิวมาก มีกลไกการออกฤทธิ์คือลดการอักเสบของสิว ควรจะใช้ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

 

 

ภญ.ปัญจักษร ชาญบรรพต

(Some images used under license from Shutterstock.com.)