
© 2017 Copyright - Haijai.com
จอประสาทตาเสื่อม
ร่างกายของเราย่อมเสื่อมไปตามอายุที่มากขึ้น ดวงตาก็หนีไม่พ้นกฎข้อนี้อย่างไรก็ตาม เนื่องจากดวงตาเป็นหน้าต่างแห่งชีวิต เป็นประสาทสัมผัสที่เราใช้มากเป็นอันดับต้นๆ ในการดำเนินชีวิต ความเสื่อมของการมองเห็นจึงมีผลต่อคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในปัจจุบัน ภาวะนี้นับเป็นสาเหตุต้นๆ ของการสูญเสียการมองเห็นและตาบอด ดังนั้น การทำความรู้จักภาวะจอประสาทตาเสื่อมในแง่มุมต่างๆ จึงมีประโยชน์ต่อการวางแผนชะลอความเสื่อมและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยด้วยภาวะนี้
ความชุกและปัจจัยเสี่ยง
มนุษย์เมื่อมีอายุมากขึ้น จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น เชื้อชาติผิวขาว (Caucasian) มีความเสี่ยงต่อภาวะนี้สูงสุด รองลงมาเป็นชาวเอเชียและแอฟริกัน ดังผลการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย ที่พบว่าที่อายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป เชื้อชาติผิวขาวมีความชุกของภาวะนี้ในระยะต้นประมาณร้อยละ 25 เอเชียประมาณร้อยละ 15 และแอฟริกันประมาณร้อยละ 10 นอกจากนี้ เมื่อตาข้างหนึ่งเป็นภาวะนี้ ความเสี่ยงที่ตาอีกข้างหนึ่งจะเป็นภาวะนี้ภายใน 5 ปี จะสูงถึงร้อยละ 30-40 โดยจอประสาทตาเสื่อมที่พบในชาวเอเชีย (รวมถึงในประเทศไทย) มีลักษณะที่แตกต่างจากที่พบในเชื้อชาติผิวขาวเล็กน้อย คือ พบชนิดที่เป็นเส้นเลือดงอกใหม่ เป็นกระเปาะในชั้นใต้จอประสาทตาได้บ่อยกว่า ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป
ปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะนี้สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
• ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ได้แก่ เชื้อชาติ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าเชื้อชาติผิวขาว จะมีความเสี่ยงต่อภาวะนี้มากกว่าชาวเอเชีย เพศหญิง และพันธุกรรม โดยผู้ที่มีประวัติสมาชิกในครอบครัวป่วยด้วยภาวะนี้ จะมีความเสี่ยงต่อภาวะนี้เพิ่มขึ้น และในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษายีนที่สัมพันธ์ต่อความเสี่ยงของการเป็นจอประสาทตาเสื่อม
• ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถแก้ไขได้ ได้แก่ การสูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่อการป่วยด้วยภาวะนี้ มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 2.75 เท่า เพราะการสูบบุหรี่เพิ่มการทำลายเรตินาจากอนุมูลอิสระ และทำให้เลือดไปเลี้ยงชั้นคอรอยด์ที่อยู่ใต้เรตินาลดลง ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้จอประสาทตาเสื่อม ได้แก่ ไขมันในเส้นเลือดสูง ความดันเลือดสูง รวมทั้งโรคทางหัวใจและหลอดเลือด
กลไกการเกิดโรค
เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ดวงตาจะค่อยๆ เสื่อมลง โดยเฉพาะจอตา (retina) ซึ่งต้องรับแสงที่บ่างความถี่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ และเซลล์บริเวณจอตาไม่แบ่งตัว ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของตาเมื่ออายุมากขึ้น คือความหนาของจอตาและชั้นเส้นประสาทจอตาลดลง ตลอดจนชั้นเยื่อบุมีสารรงควัตถุของจอตา (retinal pigment epithelium) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันจอตาจากอันตรายต่างๆ มีจำนวนเซลล์ลงดลงและมีสารลิโพฟัสซิน (lipofuscin) ซึ่งทำให้ดวงตาไวต่อการทำลายคลื่นแสงมากขึ้น สะสมในบริเวณชั้นดังกล่าวมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่ายีนที่เกี่ยวข้องและโปรตีนในระบบคอมพลีเมนต์ (the complement system) ของผู้ที่มีภาวะจอประสาทตาเสื่อมนั้น มีความผิดปกติ
การดำเนินโรคและประเภทของโรค
ประเภทของจอประสาทตาเสื่อม สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง (Dry AMD) หรือที่เรียกกันว่าจอประสาทตาเสื่อมแบบไม่มีเส้นเลือดงอกใหม่ และ จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD) หรือจอประสาทตาเสื่อมแบบมีเส้นเลือดงอกใหม่ โดยผู้ป่วยอาจจะมีตาแค่ข้างเดียว ที่ได้รับผลกระทบ หรือได้รับผลกระทบทั้งสองข้าง โดยที่ตาทั้งสองข้างไม่จำเป็นต้องอยู่ในระยะเดียวกัน และสามารถมีทั้งแบบแห้งและแบบเปียกในดวงตาข้างเดียวกันได้
จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง พบเป็นส่วนใหญ่ของจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ การดำเนินโรคเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป สามารถแบ่งเป็น 3 ระยะดังต่อไปนี้
• ระยะต้น จอตาของผู้ป่วยจะมีจุดสีเหลือง (drusen) ซึ่งมีขนาดประมาณเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผม และอาจพบเม็ดสีที่ชั้นเยื่อบุมีรงควัตถุของจอตา มีปริมาณมากหรือน้อยผิดปกติ ระยะนี้ผู้ป่วยยังไม่สูญเสียการมองเห็น
• ระยะกลาง จุดสีเหลืองที่จอตามีขนาดใหญ่มากขึ้น ความผิดปกติของเม็ดสีมีมากขึ้น หากพบที่บริเวณจุดรับภาพชัดของดวงตา (Fovea) ผู้ป่วยจะเริ่มสูญเสียการมองเห็น เช่น มองเห็นเส้นตรงคดงอ แต่หลายรายยังคงไม่มีอาการ
• ระยะท้าย ผู้ป่วยมองเห็นผิดปกติ หรือสูญเสียการมองเห็น อาการในระยะท้าย เซลล์ในชั้นจอตาและชั้นเยื่อบุมีรงควัตถุมีการฝ่อตัวลง ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็น เห็นภาพบิดเบี้ยว เห็นภาพไม่ชัด หรือมองเห็นบางส่วนขอภาพขาดหายไป
จอปราสทตาเสื่อมแบบเปียก พบได้น้อยกว่าประมาณร้อยละ 15-20 ของผู้ป่วยจอตาเสื่อมทั้งหมด ผู้ป่วยมักจะมาด้วยอาการตามัวลงอย่างรวดเร็ว มองเห็นภาพบางส่วนขาดหายไป โดยไม่มีอาการปวดตาหรือตาแดง เมื่อตรวจภายในจอประสาทตา จะพบว่าชั้นใต้จอตา (Choroid) มีการสร้างหลอดเลือดใหม่ และมีเลือดรั่วออกในชั้นจอประสาทตา และ/หรือชั้นใต้จอประสาทตา ส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็ว
การตรวจวินิจฉัย
การตรวจสอบสายตาสามารถทำได้ด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้
• Amsler grid เป็นวิธีการเบื้องต้นที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง วิธีการคือมองดู Amsler grid ถ้าใช้แว่นสายตาสำหรับอ่านหนังสือ ให้ใส่แว่นขณะมอง นำ Amsler grid ห่างจากใบหน้าประมาณ 12-14 นิ้ว ให้ตรวจตาทีละข้าง ปิดตาซาย แล้วใช้ตาขวาดูจุดกึ่งกลาง ถ้าการมองเห็นผิดปกติ เช่น เห็นแผนภาพไม่ชัด เส้นบิดเบี้ยว ให้บันทึกอาการ จากนั้ปิดตาขวา แล้วใช้ตาซ้ายมองดูแผนภาพ ถ้ามีความผิดปกติให้บันทึกไว้ ในกรณีที่พบความผิดปกติของดวงตาของใดข้างหนึ่ง ให้รีบพบจักษุแพทย์ทันที
• การตรวจจอตา โดยก่อนการตรวจ แพทย์จะให้ยาขยายม่นตา ซึ่งจะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากให้ยาไปแล้วประมาณ 15-30 นาที ระหว่างที่ยาออกฤทธิ์ ตาจะมัว ไวต่อแสงจ้า การมองเห็นในระยะใกล้ลดลง โดยการมองเห็นจะกลับมาเป็นปตกิได้เองในเวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมง จึงควรหลีกเลี่ยงการขับรถ หรืองานที่ใช้สายตาในวันที่รับการตรวจขยายม่านตา (Retinal fundus photography) เพื่อไว้เปรียบเทียบกับการตรวจติดตามครั้งต่อไป
• การสแกนจอตา หรือที่เรียกว่า OCT (Optical Coherence Tomography) ใช้เพื่อดูรอยโรคในชั้นต่างๆ ของจอตา โดยสามารถเห็นภาพตัดขวางของจอประสาทตาเป็นชั้นๆ อย่างละเอียด ช่วยในการวินิจฉัย วางแผนการรักษา และตรวจติดตามผลการรักษาของจักษุแพทย์
• การฉีดสี เป็นการตรวจพิเศษก่อนให้การรักษาจอประสาทตาเสื่อม แพทย์จะทำการฉีดสีเข้าไปในหลอดเลือดดำที่ข้อมือหรือที่แขน สีจะไหลเวียนตามกระแสเลือดเข้าไปในหลอดเลือดที่ดวงตา จากนั้นจักษุแพทย์จะถ่ายภาพจอประสาทตา เพื่อดูความผิดปกติของเส้นเลือดที่จอตาว่าเป็นแบบใด มีเส้นเลอืดงอกใหม่ในชั้นจอตา หรือเส้นเลือดงอกใหม่แบบเป็นกระเปาะที่ชั้นใต้จอประสาทตาหรือไม่ เพื่อที่จะวางแผนการรักษาต่อไป อาการข้างเคียงจากการฉีดสี ได้แก่ คลื่นไส้และแพ้สี
การรักษา
ผู้ป่วยที่มีจอประสาทตาเสื่องแบบแห้งในระยะต้น แทพย์จะยังไม่ให้การรักษา แต่จะแนะนำให้ตรวจตาด้วยตนเองและนัดมาตรวจจอตาปีละครั้ง ส่วนในกรณีระยะกลาง หรือกรณีที่ตาข้างหนึ่งป่วยด้วยจอประสาทตาเสื่อมในระยะท้าย มีงานวิจัย ได้แก่ AREDS และ AREDS2 พบว่าการเสริมสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี 500 มิลลิกรัม วิตามินอี 400 IU สังกะสีออกไซด์ 80 มิลลิกรัม (AREDS2 แทนที่เบต้า-แคโรทีนด้วยลูทีน 10 มิลลิกรัม และซีแซนทีน 2 มิลลิกรัม) สามารถช่วยชะลอความเสื่อมของจอตาได้ อย่างไรก็ตาม การรับประทานวิตามิน แร่ธาตุและสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพื่อชะลอความเสื่อมของดวงตาควรได้รับการพิจารณาจากแพทย์ก่อน และพึงตระหนักว่าสารอาหารสูตรดังกล่าวไม่สามารถฟื้นฟูสภาพดวงตาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ สำหรับการรักษาอาการจอตาเสื่อมแบบแห้ง ในระยะท้ายปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการวิจัย ส่วนแบบเปียก มีวิธีรักษาต่างๆ ดังต่อไปนี้
• การฉีดยาที่มีฤทธิ์ลดการสร้างหลอดเลือดในชั้นคอรอยด์เข้าไปในลูกตา (ได้แก่ Ranibizumab, Bivacizumab หรือ Aflibercept) ซึ่งมีอาการข้างเคียงที่ร้ายแรง (แต่พบได้น้อยมากและจักษุแพทย์จะประเมินความเสี่ยงของผู้ป่วยก่อนให้ยา) คือ โรคหลอดเลือดสมอง อาการข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจพบได้แก่ ระคายเคืองตา ปวดตา เลือดออกที่เยื่อหุ้มตา ความดันในลูกตาเพิ่มขึ้น ปวดศีรษะ
• การฉายเลเซอร์เย็น ซึ่งจะเริ่มต้นจากการที่จักษุแพทย์จะฉีดยา verteporfin เข้าทางหลอดเลือดดำที่แขน ยานี้จะช่วยเพิ่มความไวต่อแสงของหลอดเลือดที่ผิดปกติในดวงตา หลังจากเริ่มฉีดยาไปแล้ว 15 นาที จักษุแพทย์จะฉายแสงเลเซอร์ไปบริเวณหลอดเลือดที่ผิดปกติ เมื่อยาได้รับแสงเลเซอร์ มันจะออกฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดที่ผิดปกติหดตัว จึงช่วยชะลอความเสื่อมของการมองเห็น หลังการรักษาผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงที่ที่มีแสงจ้า การมองแสงโดยตรง และควรใส่แว่นกันแดดเป็นเวลา 48 ชั่วโมงหลังการรักษา จักษุแพทย์จะนัดผู้ป่วยมาติดตามผลการรักษาทุก 3 เดือน อาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากได้รับการรักษา ได้แก่ ปวดหลัง ผิวหนังไวต่อแสง และการมองเห็นเปลี่ยนไป
• การฉายแสงเลเซอร์ร้อน (โดยมากเป็นความยาวคลื่นแสงช่วงสีเขียว) เข้าไปทำลายหลอดเลือดที่ผิดปกติในชั้นคอรอยด์ โดยแสงจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนไปทำลายจุดที่ผิดปกติ อาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากได้รับการรักษา ได้แก่ ปวดตา เลือดออกในตา และการมองเห็นแย่ลง
การป้องกัน
เนื่องจากจอประสาทตาเสื่อมเป็นโรคที่เกิดขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติคนในครอบครัวป่วยด้วยภาวะดังกล่าว ควรรับการตรวจตาจากจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ควรหมั่นรักษาสุขภาพโดยการมีพฤติกรรมที่เอื้อต่อสุขภาพ เช่น งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดน้ำหนัก ไม่ใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในที่มืด เพราะแสงที่ส่องออกมาแม้จะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า มีผลต่อจอประสาทตาเสื่อม แต่ว่าทำให้เกิดผลเสียต่อกระจกตาได้ นอกจากนี้ เวลาออกกลางแจ้งที่มีแดดจัด ควรใส่แว่นกันแดด เพราะรังสีอัลตราไวโอเลต อาจจะทำให้จอประสาทตาเสื่อมได้
ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ และเป็นสิ่งที่ทำให้เราสัมผัสกับโลกภายนอก เป็นประสาทสัมผัสที่เราใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด เราจึงควรรักและทะนุถนอมดวงตาให้มากที่สุด เพื่อที่ชีวิตเราจะได้อยู่อย่างมีความสุขตลอดไป
พันตรี นพ.ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์
จักษุแพทย์
(Some images used under license from Shutterstock.com.)