
© 2017 Copyright - Haijai.com
ครอบครัวใหม่ ครอบครัวใหญ่ อบอุ่นกว่าที่เคย
หลายคนอาจคิดว่าความรักเป็นเรื่องของคนเพียงสองคน แต่ในความเป็นจริงแล้วความรักประกอบขึ้นด้วยปัจจัยหลายอย่างซึ่งเกี่ยวพันกับบุคคลต่างๆ รอบกาย เพราะไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของสามีหรือภรรยา แต่รวมไปถึงครอบครัวของคนสองคนที่ตัดสินใจมาแต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกัน ครอบครัวที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่นี้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่นยิ่งขึ้น เมื่อต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ที่จะพยายามปรับหรือเปลี่ยนแปลงข้อดีข้อด้อยของแต่ละคนเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ระยะทางไม่ใช่อุปสรรคของความรัก
รู้จักกับสามีมา 7 ปีแล้วค่ะ แต่งงานกันได้ 3 ปี ตอนนี้มีลูกชายหน้าตาน่ารัก 1 คน อายุ 1 ขวบ 6 เดือน และกำลังตั้งครรภ์อีกคนหนึ่งอยู่ค่ะ เราอยู่ที่เมืองไทยเพราะสามีทำงานที่นี่ ส่วนตัวดิฉันพอมีน้องก็ลาออกมาเป็นคุณแม่เต็มตัว
ครั้งแรกที่เจอกันคือสามีเขามาทำ project ที่นี่ และพี่ๆ ที่ออฟฟิศนี่แหละค่ะเป็นแม่สื่อให้ พอได้คุยกันก็รู้สึกว่าคุยกันถูกคอ แม้ว่าจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสารแต่ก็รู้สึกว่าเขาเข้าใจเรา และก็เป็นต่างชาติที่ open mind เราก็เลย keep in touch กันเรื่อยมา เมื่อ project เขาจบเขาก็ย้ายกลับไป จึงติดต่อกันแบบทางไกลแทนทั้ง E-mail คุยโทรศัพท์ และเจอกันปีละ 2-3 ครั้ง เป็นแบบนี้อยู่เกือบสี่ปี จนในที่สุดเขาจึงทำเรื่องขอย้ายมาประจำการที่เมืองไทย หลังจากนั้นจึงแต่งงานกัน แต่ช่วงที่เริ่มคบกันนั้นดิฉันก็มีปัญหากับที่บ้านบ้างเนื่องจากมีเชื้อจีนอยู่ และคุณพ่อก็หวงลูกสาวมากแถมยังเป็นลูกสาวคนโตอีก กว่าจะผ่านด่านพ่อ-แม่ ก็ใช้เวลาพอสมควรเหมือนกัน ส่วนทางของครอบครัวสามีนั้น เขาก็ไม่อยากให้มีแฟนไกลๆ เพราะกลัวลูกชายคนเดียวจะย้ายไปไกลบ้าน แถมห่างกันคนละซีกโลก แต่เมื่อได้คุยกัน ได้รู้จักกันมากขึ้นเขาก็เอ็นดูเรา ทุกวันนี้ต้องไปเยี่ยมทางครอบครัวโน้นทุกปีอย่างน้อยปีละครั้ง
ชีวิตคู่คือการเรียนรู้และปรับตัวเข้าหากัน
ด้วยความแตกต่างในหลายๆ ด้าน การที่มีสามีเป็นคนต่างชาติย่อมต้องมีการปรับตัวเข้าหากันมากขึ้น พร้อมที่จะเปิดใจคุยกัน และอยู่บนพื้นฐานความรัก ความเข้าใจ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน อุปสรรคต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาจึงจะผ่านไปได้ค่ะ ทุกวันนี้เวลามีอะไรเราจะคุยกันตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระหรือมีสาระ ไปเจออะไรมาตกเย็นก็เอามาแชร์กัน ซึ่งจะยิ่งทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ไม่โกหกกัน มีอะไรก็ช่วยกันคิด ช่วยกันตัดสินใจ เรียกว่าเป็นชีวิตคู่จริงๆ เลยค่ะ
ที่สำคัญสามีทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เมื่อก่อนขี้อายค่ะ ทำอะไรคนเดียวไม่ค่อยได้เลยแม้กระทั่งไปเดินซื้อของ แต่เดี๋ยวนี้เก่งแล้ว ซึ่งเขาจะคอยให้กำลังใจ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เรียกได้ว่าเป็น support ที่ดีมากๆ เลย เขาเป็นคนพูดเก่ง มีเหตุผล พูดให้คิด พูดให้ยิ้ม พูดให้ขำ จนไปถึงพูดแล้วทำเราอารมณ์เสียก็เคยค่ะ
มองข้อดีของกันและกัน
ตอนแรกๆ ที่คบกัน ดิฉันเองรู้ตัวว่าเป็นคนขี้งอน เราจึงสอนเขาก่อนเลยคำว่า “งอน” และคำว่า “ง้อ” บอกเขาว่าถ้าเรางอนแล้วไม่ง้อจะยิ่งงอนใหญ่แล้วมันจะกลายเป็นโกรธแล้วนะ แล้วถ้าโกรธจะหายยากกว่างอนอีก เขาก็งงไปเลย แบบว่าไม่เคยเจอมาก่อน แรกๆ เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ เคยบ่นว่าไม่เข้าใจเลยทำไมผู้หญิงชอบงอน แต่บ่นไปก็ง้อไปเลยผ่าน เพื่อนหลายคนยังงงเลยว่าเป็นฝรั่งแต่กลับง้อเป็น
อีกอย่างลักษณะของชาวสวีเดนจะให้สิทธิชายหญิงเท่าเทียมกัน ไม่ได้แบ่งว่าหน้าที่เลี้ยงลูกจะต้องเป็นของฝ่ายแม่ สามีจึงมีส่วนร่วมทุกอย่างไม่ว่าจะเปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำ ป้อนข้าว เรียกได้ว่าหน้าที่ในการเลี้ยงดูลูกนั้นเท่าๆ กับเราเลย
ดิฉันแอบโชคดีอีกอย่างคือ สามีเขาเป็นคนปรับตัวง่ายมาก พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา และตัวเขาเองก็ชอบอะไรไทยๆ หลายอย่าง เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมากๆ สำหรับดิฉัน เรามีอะไรก็คุยกัน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร คุยกันตั้งแต่แรก แล้วค่อยๆ ปรับเข้าหากันไปทีละเรื่อง
ความแตกต่างทางวัฒนธรรมต้องใช้เวลาและความเข้าใจ
เรื่องการเลี้ยงลูกนี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะลูกคนแรก หลานคนแรก ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็อยากดูแล ตั้งแต่คลอดเลย สามีเขาเห่อตำแหน่งคุณพ่อคนใหม่อยู่แล้ว เขาจึงรู้สึกภูมิใจมากๆ กับการได้เป็นหัวหน้าครอบครัวแบบเต็มรูปแบบ เขาจึงอยากดูแลทุกอย่างเอง ทั้งตัวลูกและตัวคุณแม่ ส่วนคุณยายก็เห่อในฐานะคุณยาย เขาก็ยากมีส่วนร่วมในการดูแล และกลัวว่าสามีจะดูแลไม่ทั่วถึงจึงอยากมาช่วย สุดท้ายเลยกลายเป็นว่ามานอนเฝ้ากันทั้งคู่ สามีก็ไม่อยากปฏิเสธความหวังดีของคุณยายทั้งที่ในใจอยากอยู่ดูแลคนเดียว พอออกจากโรงพยาบาลกลับไปบ้านทั้งคุณตา คุณยาย คุณน้าทั้งหลายต่างอยากมีส่วนช่วยในการดูแล อยากเล่น อยากอุ้ม เมื่ออยากอุ้มก็คว้าไปอุ้ม ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับคนไทย แต่สำหรับสามีนี่ไม่ได้เลย เขาจะงงมากว่าอยู่ๆ มาแย่งลูกเขาไปได้อย่างไร ทำไมไม่ขออนุญาตกันก่อน เพราะวัฒนธรรมของชาวสวีเดนเขาจะเคารพสิทธิความเป็นพ่อเป็นแม่มาก จะไม่มีการอยู่ๆ มาคว้าลูกคนอื่นไปอุ้ม จะอุ้มต้องขออนุญาตก่อน จะให้กินอะไรก็ต้องหันมาถาม แต่ทางเรานี่อะไรที่คิดว่าดีก็ป้อนทั้งนั้น และอีกอย่างตอนเราเด็กๆ เราก็เคยกินกันมาได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เลยต้องมีการตกลงกันว่าไม่ได้นะ เพราะสามีหวงลูกมาก ทำอะไรก็ควรบอกกันก่อน ซึ่งทุกคนในบ้านก็เข้าใจ และให้ความร่วมมือดีมาก จนตอนนี้สามีเริ่มชินกับการดูแลจากคุณตา คุณยายแล้ว เรายังเคยฝากลูกไว้กับคุณตา คุณยาย แล้วไปพักผ่อนกันสองคนมาแล้ว เพราะรู้ว่าท่านดูแลลูกเราได้ดีมาก
เรื่อง car seat ก็เป็นอีกเรื่องที่เป็นปัญหามากตอนแรกๆ เพราะชาวสวีเดนจะเขาจะไม่ยอมให้ลูกนั่งรถไปไหนเลยถ้าไม่มี car seat ซึ่งตอนเล็กๆ น้องจะร้องมาก อยากให้อุ้ม คุณยายก็อยากจะเอามาอุ้ม สามีก็ไม่ยอม แต่ตอนนี้กลายเป็นผลดีไปแล้วเพราะลูกยอมนั่ง car seat แต่โดยดี เวลาไปไหนก็ง่าย ขับรถไปกับลูกสองคนก็ไม่มีปัญหา
เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก
เรื่องการศึกษาของลูกก็เป็นอีกเรื่องที่เราคุยกันมาก เพราะสามีเขาไม่ค่อยชอบระบบการศึกษาของเราเท่าไร เนื่องจากว่าไม่ค่อยสนับสนุนให้เด็กกล้าคิด กล้าแสดงความคิดเห็น ซึ่งอันนี้เราก็เห็นด้วย จึงตัดสินใจว่าจะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนนานาชาติ แต่ก็คุยกันว่าต้องพยายามสอนเขาให้มีความเคารพผู้ใหญ่ อ่อนน้อมถ่อมตนแบบไทยๆ ด้วย อยากให้ได้สิ่งดีๆ ของทั้งสองวัฒนธรรม
ไม่มีปัญหาเมื่อพร้อมที่จะเรียนรู้และปรับตัวเข้าหากัน ดิฉันคิดว่าการใช้ชีวิตคู่กับคนต่างชาติ ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีวัฒนธรรม ทัศนคติ ภาษาที่ต่างกัน แต่ถ้าเราทั้งสองคนพร้อมที่จะเรียนรู้กันและกัน รู้จักปรับตัวเข้าหากัน มีอะไรคุยกัน รักกัน ให้เกียรติกัน ถึงวัฒนธรรม ทัศนคติ และภาษาจะต่างกันก็ไม่เป็นปัญหาแล้วค่ะ
คุณสุกัญญา วอลิน
(Some images used under license from Shutterstock.com.)