Haijai.com


แม่ก็ไปขอตู้ ATM สิคะ


 
เปิดอ่าน 1283

แม่ก็ไปขอตู้ ATM สิคะ

 

 

“แม่ก็ไปขอตู้ ATM สิคะ” เป็นคำพูดของลูกสาววัย 4 ขวบในขณะนั้น เมื่อดิฉันบอกว่าตอนนี้ไม่มีเงินสดในกระเป๋าพอที่จะซื้อตุ๊กตาหมีน่ารักตัวนั้นได้ คำบอกเล่าง่ายๆ ไร้เดียงสาทำให้ดิฉันต้องทำความเข้าใจกระบวนการคิดและความเข้าใจโลกของเด็กเพื่อจะได้สอนให้เขาเข้าใจความหมายหลากมิติและคุณค่าเชิงเศรษฐกิจได้ แน่นอนค่ะ แม่ที่เป็นอาจารย์อย่างดิฉันที่ใช้ปาก (สมองด้วย) พร่ำสอนอธิบายหลักการ เหตุและผลเชิงเศรษฐกิจ วิชาการและตรรกะต่างๆ ให้ลูกของคนอื่นฟัง ก็อดไม่ได้ที่ต้องเริ่มเล่าที่มาของเงินในตู้ ATM  เดินคุยไปกันยืดยาวจากตลาดนัดจนถึงบ้าน ดิฉันได้เข้าใจถึงความไม่เข้าใจในกรอบความคิดที่ไร้เดียงสาของลูกได้ ก่อนที่เราจะบอกว่า “ให้ประหยัดนะลูก” “อย่าฟุ่มเฟือยนัก” “เก็บออมนะลูก” เราควรจะต้องมาเข้าใจกันก่อนว่า คำว่า ประหยัด ฟุ่มเฟือย หรือ เก็บออม ไม่ได้ถูกบัญญัติไว้ในพจนานุกรมแรกเกิดของเขา การที่จะให้ลูกทำตามด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่การจำหรือทำตามคำสั่งอย่างเดียวนี้ มีวิธีค่ะ

 

 

 สร้างมิติทางความคิด ทุกอย่างมีที่มา สอนให้รู้คุณค่าของเงิน

 

เมื่อลูกบอกว่าแม่ก็ไปขอตู้ ATM สิคะดิฉันจึงย้อนถามกลับไปว่าแล้วลูกคิดว่าตู้ ATM เอาเงินมาจากไหนล่ะ คำตอบที่แสนง่ายพอๆ กับคำถามคือ “ตู้ ATM ก็ผลิตเงินเองหรือไม่ก็มีคนเอามาใส่ไว้ให้..จบ ..” คำตอบมีทั้งผิดและถูก แต่ที่ถูกก็ถูกไม่หมด

 

 

ดิฉันเข้าใจแล้วว่าลูกไม่เข้าใจกระบวนการได้มาของเงิน ซึ่งทำให้เขาไม่เข้าใจคุณค่าของเงินที่ต้องแลกมาด้วยความพยายามอุตสาหะ จึงเริ่มอธิบายและให้ลูกสังเกตวิถีชีวิตของแม่ที่แม่ต้องออกไปทำงานทุกวัน นั่งทำงานหลังจากที่ลูกเข้านอน และที่สำคัญดิฉันได้มีโอกาสพาเขาไปที่ทำงานและนั่งทำงานไปด้วยกันในช่วงปิดเทอม พาเขาไปฝากเงินที่ธนาคารและอธิบายกลไกด้านการเงินต่างๆ ผ่านทาง Internet Banking การพาให้เขาได้ดูกับตาและได้สัมผัสทางตรงเป็นการสร้างความเข้าใจได้อย่างดีและเป็นการสร้างความคิดหลากมิติ

 

 

 สอนให้เปรียบเทียบมูลค่าสิ่งของ

 

เมื่ออธิบายที่มาของเงินว่าไปอยู่ในตู้ ATM ได้อย่างไร ก็ต้องคุยต่อว่าทำไมจึงไม่ซื้อตุ๊กตาหมีน่ารักราคา 300 บาทตัวนั้นให้ คำตอบในใจของพ่อแม่ทุกคนคงคิดไม่ต่างกันมากหรอกค่ะว่า ก็ลูกมีตุ๊กตาอยู่เต็มบ้านแล้วจะซื้อไปอีกทำไม ลูกคงไม่ยอมกับคำโต้แย้งของเรานี้แน่ ดิฉันจึงตั้งต้นใหม่ ถามตัวเองว่าเงิน 300 บาทนั้นมีมูลค่าเทียบกับอะไรได้บ้าง ในที่สุดก็ไปเปรียบเทียบกับอาหารมื้อโปรดของเขา

 

 

ดิฉันเริ่มตั้งเงื่อนไขในการอธิบาย ตุ๊กตาหมี 1 ตัวนี้ต้องใช้เงินเท่ากับแซนด์วิชยอดอร่อยของลูก 3 ชิ้น หรือเท่ากับนมสดหอมมันอร่อย 20 แก้ว ดิฉันพยายามวาดภาพเปรียบเทียบมูลค่าของ 3 สิ่งนี้ในสมองของลูกน้อย แล้วค่อยต่อด้วยประโยคในใจของเราว่า แต่ลูกมีตุ๊กตาหมีเต็มบ้านแล้วนะ ถ้าลูกจะต้องเลือกลูกจะเลือกอะไร

 

 

 มูลค่าที่ไม่ได้วัดด้วยขนาดและปริมาณ

 

ครั้งหนึ่งเมื่อดิฉันจ่ายค่าอาหารด้วยธนบัตร 1000 บาทแล้วได้รับเงินทอนมาเป็นธนบัตรย่อยหลายใบ ลูกสาวจึงทักว่า “โอ้โห แม่มีเงินเยอะกว่าเดิมอีก” จึงต้องอธิบายถึงมูลค่าของธนบัตรแบบต่างๆ และเหรียญขนาดต่างๆ ให้ฟังซึ่งเป็นการสอนคณิตศาสตร์เบื้องต้นได้ดีทีเดียว

 

 

ผู้ใหญ่บางคนอาจคิดว่าการสั่งให้ลูกประหยัดก็น่าจะเพียงพอ แต่ดิฉันเห็นว่าการใช้ชีวิตเป็นเรื่องของความเข้าใจ สร้างจิตสำนึกด้วยตัวเขาเอง ให้เขาสามารถคิดไตร่ตรองด้วยตัวเองได้เพื่อวันนี้และอนาคตของเขาเอง

 

 

ผศ.ดร. การดี เลียวไพโรจน์

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

(Some images used under license from Shutterstock.com.)