
© 2017 Copyright - Haijai.com
กลิ่นบำบัดเพื่อสุขภาพ Aromatherapy
การใช้กลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยในการบำบัด คือ ศาสตร์หนึ่งที่ใช้ในการบำบัดรักษาเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและสุขภาพกายให้ดีขึ้น เป็นศาสตร์เก่าแก่ของโลกที่มีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์ เมื่อกว่า 6,000 ปีที่ผ่านมา และมีการแพร่หลาย ในบริเวณกว้างในเวลาต่อมาทั้งในประเทศจีน ญี่ปุ่น อินเดีย รวมถึงประเทศไทยของเรา การใช้ประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยต่อร่างกายและจิตใจนั้น ส่วนใหญ่มักจะทำออกมาในรูปแบบของการสูดดมและการใช้ผ่านผิวหนัง
นักวิทยาศาสตร์พบว่า กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยสามารถกระตุ้นพลังของการรับกลิ่นของร่างกายมนุษย์ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะกลิ่นมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์มาก ผู้ที่สูญเสียความสามารถในการรับกลิ่นไปหรือรับได้ลดน้อยลง แพทย์พบว่าบุคคลนั้น มักจะมีปัญหาด้านความกังวล ความเครียด หงุดหงิดง่าย โดยทั่วไปมนุษย์มีความสามารถในการแยกแยะกลิ่นได้มากกว่า 10,000 ชนิด นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ากลิ่นต่างๆ ผ่านเข้าสู่โพรงจมูกสู่สมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ความจำ และการเรียนร็โดยผ่านปลายเส้นประสาทในการรับรู้กลิ่น ซึ่งมีผลต่อสภาวะทางจิตใจเป็นอย่างมาก
เนื่องด้วยปัจจุบันคนเรามีภาวะตึงเครียดเพิ่มมากขึ้น หลายคนจึงเสาะหาวิธีการรักษาหรือวิธีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดให้กับตัวเอง หนึ่งวิธีที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ก็คือการใช้น้ำมันหอมระเหย หรือที่เรียกว่าอโรมาเธอราปีมาบำบัดนั่นเอง การใช้น้ำมันหอมระเหยนี้ มีหลักการในการบำบัด คือ แบ่งตามอาการทางจิตประเภทต่างๆ ได้แก่
(1) โกรธ ใช้น้ำมันกระดังงา น้ำมันคาโมมายล์
(2) กังวล ใช้น้ำมันมะกรูด น้ำมันผิวมะนาว น้ำมันหอมจากต้นสน คาโมมายด์ กำยาน มะลิ ตะไคร้ ยูคาลิปตัส
(3) เก็บกด ใช้น้ำมันลาเวนเดอร์ น้ำมันกุหลาบ น้ำมันโรสแมรี่
(4) ความจำเสื่อม ใช้น้ำมันขิง น้ำมันเบซิล
(5) จิตอ่อนล้า ใช้น้ำมันขิง น้ำมันสะระแหน่ น้ำมันโรสแมรี่
(6) ประสาทตึงเครียด ใช้น้ำมันลาเวนเดอร์ น้ำมันกระดังงา น้ำมันผิวส้ม
(7) หงุดหงิด ใช้น้ำมันผิวส้ม น้ำมันผิวมะนาว
(8) หดหู่ เศร้าเสียใจ ใช้น้ำมันดอกมะลิ น้ำมันกุหลาบ
วิธีการใช้คือผสมในน้ำแล้วอาบ ฉีดพ่นในอากาศเพื่อสูดดม หรือนวดเข้าทางผิวหนัง เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายจากอาการดังกล่าว
นอกจากนี้ยังมีอีกศาสตร์หนึ่งที่ระบุการใช้กลิ่นบำบัดตามกรุ๊ปเลือดของแต่ละบุคคล โดยหลักการแล้วเลือดแต่ละกรุ๊ปจะมีสารเคมีในเลือดที่ต่างกัน ดังนั้น การรับกลิ่นของคนแต่ละกรุ๊ปเลือด ก็จะแตกต่างกันออกไป ซึ่งส่งผลต่อระบบการไหลเวียนของเลือด ช่วยปรับสมดุล ฟื้นฟูสภาพร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเป็นอย่างดี เช่น
• กรุ๊ป O เหมาะกับกลิ่นของต้นไทม์ ราสเบอร์รี่ ซีดาร์วูด แฟรงคินเซนส์ (กลิ่นกำยานของชาวอาหรับ) เปปเปอร์มินต์ เครื่องยาโบราณ
• กรุ๊ป A เหมาะกับน้ำมันหอมระเหยที่สดชื่น เช่น กลิ่นชาเขียว ใบมะเขือเทศ ใบโหระพา และยี่หร่า ควรหลีกเลี่ยงกลิ่นที่มีฤทธิ์กดประสาทและการไหลเวียนของเลือด หรือไปกระตุ้นให้เกิดความเครียด เช่น กลิ่นกระดังงา กลิ่นมะลิ ซึ่งเป็นกลิ่นหอมโทนต่ำ
• กรุ๊ป B เหมาะกับกลิ่นที่มีฤทธิ์เผ็ดร้อน กระตุ้นอารมณ์ให้สดชื่น เช่น กลิ่นขิง เปปเปอร์มินต์ โสม ชาเขียว ชาดำ แอปเปิ้ลแดง เชอร์รี่ดำ ทับทิม พริกไทย พิมเสน และกลิ่นไม้
• กรุ๊ป AB เหมาะกับกลิ่นที่มีลักษณะของแร่ธาตุหลายชนิดรวมกัน เช่น กลิ่นแอลดีไฮด์ หรือกลิ่นที่ให้ความรู้สึกสะอาดและสดชื่นสบายใจ ซึ่งประกอบด้วยกลิ่นยูคาลิปตัส มะนาว ตะไคร้ ใบส้ม เกรปฟรุต ซีดาร์วูด หรือกลิ่นที่สื่อถึงแร่ธาตุอะลูมิเนียม หินชนวน ก้อนกรวดน้ำ เป็นต้น
แม้ว่าน้ำมันหอมระเหยจะเป็นกลิ่นที่สกัดได้จากส่วนต่างๆ ของพืช แต่ก็ยังมีส่วนประกอบของสารเคมีอยู่หลายชนิด ซึ่งสารบางชนิดก็สามารถช่วยแก้ไขเรื่องสุขภาพได้ แต่บางชนิดกลับมีอันตรายต่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ดังนั้น จึงมีข้อยกเว้นในการใช้สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพดังต่อไปนี้
(1) ผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงทำคีโม เพราะน้ำมันหอมระเคยจะทำปฏิกิริยากับตัวยาในกระบวนการฉีดคีโม และอาจเกิดผลกระทบในขั้นตอนการฉายรังสี
(2) ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน
(3) สตรีตั้งครรภ์และสตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร เพราะน้ำมันหอมระเหยจะไปทำปฏิกิริยาต่อประสาทสัมผัสการรับรู้ของเด็กที่อาจทำให้เด็กงอแง ร้องไห้ไม่หยุด รู้สึกไม่สบายตัว
(4) ผู้ที่แพ้ง่ายเมื่อได้รับการสัมผัสทางผิวหนัง
(5) ในเด็กเล็กและทารกซึ่งมีผิวบอบบาง
ทั้งนี้น้ำมันหอมระเหยมีองค์ประกอบทางเคมีที่ซับซ้อน ที่สำคัญมีความผันแปรในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น น้ำมันหอมที่ได้จากส่วนที่แตกต่างของพืช ก็จะให้คุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไปด้วย ชนิดของดิน ตลอดจนภูมิอากาศและภูมิประเทศก็มีส่วนเช่นกันนั่น ก็รวมไปถึงระยะเวลาในการปลูก ฤดูกาล และช่วงเวลาเก็บเกี่ยวด้วย ซึ่งคุณภาพของน้ำมันหอมระเคยถูกกำหนดตรงกระบวนการ น้ำมันหอมคุณภาพสูงมักได้จากการสกัดเย็นและการกลั่น ซึ่งเหมาะจะนำมาใช้เพื่อการบำบัด ส่วนน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณภาพรองลงมา จะได้จากการสกัดด้วยวิธีอื่นๆ ซึ่งส่วนมาก นำมาใช้เพื่อการแต่งกลิ่นสำหรับผลิตภัณฑ์อาหาร ยา และเครื่องสำอาง แต่จะไม่นำมาใช้เพื่อการบำบัด ซึ่งเป็นการใช้กับร่างกายโดยตรง นอกจากนี้ผู้ผลิตบางรายหวังที่จะประหยัดงบประมาณ ดังนั้น อาจปนปลอมสารสังเคราะห์ลงไปเพื่อลดต้นทุนด้วย
ดังนั้น จึงควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดโดยการสูดดม หรือโดยการทาถูและนวดตามร่างกาย เพราะน้ำมันหลายชนิดอาจมีผลระคายเคืองต่อผิวหนังได้ ก่อนใช้น้ำมันหอมระเหยควรทดสอบว่าแพ้น้ำมันหอมระเหยชนิดนั้นหรือไม่ เพราะแต่ละบุคคลมีการตอบสนองต่อสารเคมีแตกต่างกัน ก่อนซื้อหาหรือนำผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิดมาละเลงกาย หรือละลายน้ำแล้วกระโดดตูมลงไปแช่ อาจทดสอบง่ายๆ ว่าใช้แล้วจะมีอาการแพ้หรือไม่ โดยทดลองทาผลิตภัณฑ์บริเวณข้อพับแขน ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง ถ้ามีอาการผื่นคัน บวมแดง ก็เป็นอันบอกลากันได้แบบไม่ต้องลังเล
เรียกได้ว่าการบำบัดด้วยน้ำมันหอมระเหย ไม่ว่าจะเป็นการใช้กลิ่นบำบัดตามอาการทางจิตประเภท หรือการใช้กลิ่นบำบัดตามกรุ๊ปเลือด ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วย ความเครียด ความวิตกกังวลได้อีกทางหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การใช้กลิ่นเพื่อบำบัดการรักษา แม้ว่าสารสกัดน้ำมันหอมระเหยเหล่านั้น จะมาจากธรรมชาติ และมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่ก็สามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางราย ดังนั้น ใครที่สนใจก็ควรระมัดระวังการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ด้วย ข้อสำคัญคือควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน การที่จะจับจ่ายน้ำมันหอมระเหยกลิ่นต่างๆ มาใช้งานด้วย
(Some images used under license from Shutterstock.com.)