
© 2017 Copyright - Haijai.com
อัพไซส์ชายอยากใหญ่ Add Inches to your manhood
ขนาดของอวัยวะเพศชาย นับว่าเป็นเสน่ห์ทางเพศอย่างหนึ่งที่สังคมในยุคนี้ให้ความสำคัญ อวัยวะเพศชายที่มีขนาดใหญ่เหมาะสมกับรูปร่าง ถือเป็นความภาคภูมิใจและบ่งบอกถึงความเป็นชายอย่างแท้จริง รวมทั้งสามารถให้ความสุขกับคู่รักในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ หลายคนอาจจะคิดว่าผู้ชายยุคนี้ดูจะให้ความสำคัญกับขนาดของน้องชายมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้ว “ขนาดอวัยวะเพศชาย” ได้รับความสนใจและกล่าวถึงมาเนิ่นนานจนสามารถร้อยเรียงเป็นประวัติศาสตร์ได้เลย
ปัจจุบันความก้าวหน้าทางการแพทย์สามารถทำการผ่าตัด เพื่อเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชายได้ รวมถึงการใช้ยา การนวดเพิ่ขนาดและอุปกรณ์ที่ถูกผลิตขึ้นมา เพื่อเพิ่มขนาดเพศชายโดยเฉพาะ แต่การผ่าตัดเพื่อเพิ่มขนาดอวัยวะเพศนั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงการแพทย์ถึงความเหมาะสม ฝ่ายหนึ่งอ้างว่าอวัยวะเพศชายโดยธรรมชาติมีความปกติเหมาะสมกับรูปร่างของแต่ละคนอยู่แล้ว เพียงแต่เจ้าตัวเองไม่พึงพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ จึงเป็นเหตุให้อยากเพิ่มขนาด รวมทั้งการผ่าตัดเพิ่มขนาดอาจทำให้เกิดอันตรายกับผู้ที่ได้รับการผ่าตัดได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งมีเหตุผลว่าหากผ็ชายมีความกังวลมากเกินไป เกี่ยวกับขนาดอวัยวะเพศของตัวเอง ก็จะส่งผลกระทบต่อจิตใจและก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้และมองว่าการที่ผู้ชายต้องการเสริมขนาดอวัยวะเพศ ก็เหมือนกับผู้หญิงที่ต้องการเสริมมขนาดเต้านมให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งการผ่าตัดเสริมเต้านมก็ดูเป็นเรื่องปกติธรรมดาในยุคนี้ไปแล้ว
ทำความรู้จักกับอวัยวะเพศชาย
อวัยวะเพศชาย ทำหน้าที่ในการสืบพันธุ์เพื่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ ประกอบด้วยโครงสร้างทั้งภายนอกและภายในร่างกาย โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงอวัยวะเพศชายมักนึกถึงส่วนประกอบภายนอกเป็นส่วนใหญ่ อวัยวะเพศชายประกอบไปด้วย (1) องคชาต (Penis) มีลักษณะเป็นท่อนยาวอยู่ภายนอกร่างกาย ตรงบริเวณหัวหน่าวทำหน้าที่เป็นทางผ่านของปัสสาวะและน้ำกาม เมื่อมีอารมณ์ทางเพศองคชาตจะเกิดการแข็งตัว เพื่อให้สามารถสอดใส่เข้าไปภายในช่องคลอดของเพศหญิงได้ ที่ปลายองคชาตเป็นจุดรวมของเส้นประสาทที่ไวต่อการกระตุ้น (2) อัณฑะ (Testicles) มีลักษณะเป็นถุงห้อยออกมาภายนอกร่างกาย 2 ถุง ภายในประกอบด้วยหลอดสร้างตัวอสุจิ, หลอดเก็บตัวอสุจิและหลอดนำอสุจิ, ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ (Seminal vesicle), ต่อมลูกหมาก (Prostate gland) ต่อมคาวเปอร์ (Cowper’s gland) นอกจากนี้ ระบบสืบพันธุ์เพศชาย (และหญิง) ยังมีอวัยวะร่วมกับระบบขับถ่ายปัสสาวะ ได้แก่ กระเพาะปัสสาวะ (Urinary) และท่อปัสสาวะ (Urethra) อีกด้วย อัณฑะทำหน้าที่ผลิตอสุจิหรือสเปิร์มรวมทั้งผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) หรือฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตและกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ทางเพศ
อะไรที่ทำให้ผู้ชายอยากเพิ่มขนาด
หากจะถามว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณผู้ชายอยากเพิ่มขนาดของอวัยวะเพศของตัวเอง สาเหตุส่วนใหญ่นั้นเชื่อว่ามาจากปัญหาทางจิตใจ เพราะมักคิดว่าขนาดของตัวเองเล็กกว่าปกติ (Penile Dysmorphophobia) เล็กกว่าของคนอื่นๆ จนทำให้ขนาดความมั่นใจ ทั้งในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์การสวมใส่เสื้อผ้าบางอย่างที่เน้นสรีระ การโชว์รูปร่างขณะเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือกิจกรรมที่ต้องสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นในที่สาธารณะ อย่างเช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สปา หรือแม้กระทั่งเวลายืนปัสสาวะในห้องน้ำผู้ชาย ทั้งหมดทั้งมวลก็มาจากการเปรียบเทียบกับผู้อื่น จนทำให้ขาดความมั่นใจในตนเอง ซึ่งอันที่จริงแล้วผู้ชายที่มาขอพิจารณาแก้ไขเพิ่มขนาดขององคชาต มีเพียงร้อยละ 10-20 เท่านั้น ที่มีขนาดองคชาติเล็กกว่ามาตรฐาน และโดยทั่วไปก็ยังไม่มีมาตรฐาน แน่นอนว่าขนาดของอวัยวะเพศที่แพทย์จะพิจารณาทำการผ่าตัดแก้ไขให้นั้นควรจะเป็นเท่าไหร่ แต่ก็มีเกณฑ์ในการพิจารณาคร่าวๆ จากค่าวิจัยที่มีบางหน่วยงานเสนอว่าควรใช้ค่าที่องคชาตอ่อนตัวน้อยกว่า 4 เซนติเมตร และองคชาตยืดตัวน้อยกว่า 7.5 เซนติเมตร เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน แต่เกณฑ์ในการผ่าตัดเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขององคชาติยังไม่มีใครที่กำหนดเป็นมาตรฐาน
เพิ่มขนาดอวัยวะเพศชายทำอย่างไรได้บ้าง
การเพิ่มขนาดเพศชายในปัจจุบัน โดยหลักแล้วแบ่งเป็น 3 วิธีด้วยกัน ได้แก่ การทำศัลยกรรม การใช้ยา ซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ แต่ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์แน่ชัดถึงผลข้างเคียง และ Jelqing หรือ การนวดเพิ่มขนาด ในทีนี้เราจะมาพูดกันถึงการทำศัลยกรรมโดยการผ่าตัด โดยเฉพาะเพราะเป็นวิธีการที่ให้ผลการรักษาที่ดี ซึ่งมีทั้ง 2 วิธีด้วยกัน ได้แก่ การเพิ่มความยาวขององคชาต และการเพิ่มขนาดเส้นรอบวงหรือความกว้าง
1.การเพิ่มความยาวขององคชาติ (Penile Lengthening Procedure) การเพิ่มความยาวขององคชาติเป็นวิธีที่ค่อนข้างยาก เนื่องจากองคชาตมีข้อจำกัดในเรื่องของเส้นประสาท เส้นเลือด ซึ่งทำให้ไม่สามารถผ่าตัดยืดยาวออกไปได้ และการเพิ่มความยาวในปัจจุบันก็ไม่ค่อยมีวิธีใดที่ดีมากนัก รวมทั้งไม่ค่อยเห็นผล ซึ่งวิธีในการเพิ่มความยาว สามารถทำได้ทั้งหมด 5 วิธีด้วยกัน ได้แก่
(1) การเพิ่มผิวหนังขององคชาตด้านบน (Advancement of infrapubic skin flap) เป็นการผ่าตัดยืดเอ็นที่ติดกับองคชาตและหัวหน่าว ทำให้ผิวหนังเลื่อนมาอยู่ที่ปลายองคชาติมากขึ้น โดยการทำ Flab เป็นรูปตัว V หัวคว่ำที่บริเวณท้องน้อยส่วนกลาง (Suprapubic area) จากนั้นจึงเย็บให้เป็นรูปตัว Y หัวคว่ำ หรือที่เรียกว่า VY Plasty นั่นเอง วิธีนี้อาจทำให้ผิวหนังเลื่อนมาอยู่ที่องคชาตเพียง 1 เซนติเมตรเท่านั้น จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เพราะเพิ่มขนาดได้น้อย รอยแผลเป็นไม่สวย เมื่อวัยวะแข็งตัวจะชี้ลงพื้น ไม่ชี้ตั้งขึ้นเหมือนวัยรุ่น รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายสูงไม่คุ้มกับผลที่ได้รับ
(2) การเพิ่มความยาวปลายกล้ามเนื้อฟองน้ำด้วยกระดูกอ่อน (Penile disassembly technique) โดยการผ่าตัดลงแผลแบบการขลิบ จากนั้นรูดหนังหุ้มปลายลง และทำการเปิดหัวองคชาตออก เลาะให้หัวองคชาตลอยออกมาแล้วดึงขึ้น แต่ก็ไม่สามารถที่จะดึงขึ้นไปได้มาก เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของเส้นเลือด เส้นประสาท และท่อฉี่ เมื่อดึงขึ้นแล้วจึงนำกระดูกอ่อนชายโครง (Rib Cartilage) ความยาวประมาณ 1 นิ้ว มาเหลาให้ได้รูปแล้วเย็บติดบริเวณส่วนปลายของกล้ามเนื้อฟองน้ำ (แกนที่ทำให้องคชาตแข็งตัว) เมื่อเสร็จแล้วจึงนำส่วนต่างๆ เย็บประกอบกลับเข้าไปเหมือนเดิม การผ่าตัดชนิดนี้นับว่าเป็นวิธีที่เสี่ยงเกินไป เนื่องจากมีโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนที่รุนแรง อย่างเช่น ผู้ป่วยรับความรู้สึกที่ปลายองคชาตไม่ได้อีกต่อไป หรือเกิดเนื้อตาย เป็นต้น
(3) การเพิ่มความยาวโดยไม่ต้องผ่าตัด (Penile extender device) เป็นการใช้เครื่องมือยืดขยายองคชาตสวมลงไปที่องคชาต แล้วใช้ยางรัดหัวองคชาตเอาไว้ ลแวดึงให้ยืดออกมา โดยหลักการในการดึงเพื่อเพิ่มความยาวคือต้องดึงวันละ 10 ชั่วโมง 1 สัปดาห์ พัก 1 วัน เป็นระยะเวลา 3-6 เดือน ผลจากการดึงพบว่า ถ้าวัดในขณะแข็งตัวเต็มที่ใน 3 เดือนแรก องคชาตจะมีความยาวเพิ่มขึ้น 1.4118 เซนติเมต หรือคิดเป็น 10.56 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนที่ 4, 5 และ 6 จะมีความยาวเพิ่มขึ้น 1.8462 เซนติเมตร (14.11%), 2.2750 เซนติเมตร (16.63%) และ 3.3333 เซนติเมตร (27.5%) ตามลำดับ ซึ่งเครื่องมือยืดขนาดองคชาตนี้ถูกผลิต โดยเครื่องมือดึงองชาตแห่งหนึ่งและไม่มีรายงานถึงผลข้างเคียง
(4) การดูดไขมันขององคชาตออกในคนที่อ้วนมาก (Pubis liposuction) วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่อ้วนมากจนมีไขมันหนาสะสมบริเวณองคชาต ซึ่งเป็นการดูดไขมันออก ทำให้องคชาตเรียวขึ้น จึงดูเหมือนยาวขึ้น ในผู้ป่วยบางรายมีรายงานว่าดูเหมือนองคชาตยาวขึ้นถึง 2 เซนติเมตรเลยทีเดียว
(5) การเพิ่มความยาวโดยการตัดเอ็นยึดหัวหน่าว (Release of suspensory ligament) เนื่องจากเอ็นยึดหัวหน่าว (Suspensory ligament) จะเป็นตัวยึดองคชาตกับกระดูกหัวหน่าว (Pubic bone) ทำให้องคชาติชี้ขึ้นขณะแข็งตัว แต่เมื่อผ่าตัดนำออกไปแล้ว องคชาตจะดูเหมือนยาวขึ้น เพราะองคชาตดูห้อยต่ำลงมา แต่มีรายงานว่าแพทย์บางคนพยายามที่จะใช้วัสดุเทียม เช่น แท่งซิลิโคน มาเหลาทำเป็นรูปลิ่มแล้วแทรกกั้นไว้ระหว่างกระดูกหัวหน่าวกับโคนขององคชาต มีรายงานจากกลุ่มผู้ชายที่ได้รับการผ่าตัดเพิ่มขนาดด้วยวิธีนี้จากประเทศอิตาลีว่า ได้ผลดีและไม่มีรายงานผลแทรกซ้อนถึง 97 ราย โดยมีอายุเฉลี่ย 33 ปี แต่วิธีนี้นานไปอาจเกิดแผลดึงรั้งหรือาอจทำให้สั้นลง
2.การเพิ่มขนาดเส้นรอบวงหรือความกว้าง (Penile girth enhancement procedure) การเพิ่มขนาดเส้นรอบวง เป็นการเพิ่มความกว้างให้กับองคชาต ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าการเพิ่มความยาว หลักการคือทำให้ผิวหนังขององคชาตหนาขึ้น ขณะอ่อนตัวดูหนา ขณะแข็งตัวแกนข้างในอาจมีขนาดเท่าเดิม แต่ภายนอกหนาตัวมากขึ้น
การเพิ่มความกว้างมี 3 วิธี ได้แก่
(1) การเพิ่มขนาดโดยการฉีดสาร (Injection of liquid materials) วิธีนี้ถือเป็ฯวิธีดั้งเดิมเนื่องจากมีการใช้กันมายาวนาน สามารถทำได้ง่ย ในระยะแรกอันตรายจากการฉีดสารแปลกปลอมมีน้อย แต่ในระยะยาวจะทำให้เกิดผลเสียอย่างรุนแรงตามมา เนื่องจากสารแปลกปลอมที่นำมาฉีด มีสถานะเป็นของเหลว ซึ่งไหลไปตามที่ต่างๆ ได้ เช่น หัวเหน่า ถุงอัณฑะ เป็นต้น
ในสมัยก่อนหมอเถื่อนนิยมนำสารแปลกปลอมอย่างน้ำมันมะกอก หรือสารพาราฟินมาฉีดให้คนไข้ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีการนำซิลิโคนเหลวมาใช้ฉีดเพิ่มขนาดด้วย แต่มีราคาแพง รวมถึงการฉีดด้วยวาสลีน (Vaeline) ซึ่งสารแปลกปลอมเหล่านี้ ทำให้เกิดผลข้างเคียง และโรคแทรกซ้อนที่ร้ายแรงตามมา เช่น แผลติดเชื้อเรื้อรังที่เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อสารแปลกปลอม การขาดเลือดมาเลี้ยง ผิวหนังเป็นตะปุ่มตะป่ำ องคชาตผิดรูป การแก้ไขต้องผ่าตัดปลอกหนังหุ้มส่วนนั้นออกทั้งหมด แล้วนำเอาหนังของถุงอัณฑะที่ใกล้เคียงกันมาหุ้มแทน โดยทั่วไปการฉีดสารแปลกปลอมมักถูกฉีดโดยหมอเถื่อน ดังนั้น แพทย์ส่วนใหญ่จึงหลีกเลี่ยงการฉีดสารแปลกปลอมเหล่านี้ แต่ใช้การฉีดไขมันของตัวผู้ป่วยเองเข้าไปแทน โดยฉีดเข้าไปใต้หนังหุ้มองคชาต ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีข้อดีคือเป็นไขมันของผู้ป่วยเอง จึงไม่เกิดอาการแพ้ แต่ก็มีรายงานว่าเกิดการผิดรูปสูงเนื่องจากไขมันเป็นของเหลว และขนาดองคชาตจะยุบลงไปเหลือเพียงร้อยละ 30 ของไขมันที่ฉีดเข้าไปเท่านั้น
(2) การเพิ่มขนาดโดยการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ (Subcutaneous placement of different tissues) เป็นการผ่าตัดโดยลงแผลที่โคนองคชาตทางด้านบน แล้วใช้เนื้อเยื่อจากการปลูกถ่ายผิวหนัง (Dermal-fat graft) สอดเข้าไปเพื่อให้องคชาตดูอวบขึ้น เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับว่าทำได้ง่ายผลแทรกซ้อนต่ำ แต่ข้อเสียคือมีราคาแพง และการหาเนื้อเยื่อชนิดนี้ทำได้ยาก วิธีที่ได้รับความนิยมเช่นกันคือการใช้ผิวหนัง (Dermal-fat flap) จากบริเวณท้องน้อยส่วนกลาง (Suprapubic area) มาตลบหุ้มรอบองคชาตแต่ต้องเป็นผู้ป่วยที่มีหน้าท้องพอสมควร จึงจะสามารถทำวิธีนี้ได้แป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ผลแทรกซ้อนต่ำ และกราฟหรือเนื้อเยื่อจะคงอยู่ตลอดไป เพราะมีเส้นเลือดมาเลี้ยง ข้อเสียคือมีรอยแผลผ่าตัดบริเวณท้องน้อยส่วนกลาง นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่ได้ผล คือ การใช้เนื้อเยื่อจากก้น โดยการผ่าตัดนำเนื้อเยื่อออกมา แล้วเลาะไขมันทิ้ง เอาชั้นหนังกำพร้าออก เหลือไว้เฉพาะชั้นหนังแท้ แล้วจึงนำไปหุ้มรอบองคชาต วิธีนี้คล้ายๆ กับการขลิบ วิธีนี้ถึงแม้จะทำได้ง่ายแต่ลงทุนสูง มีค่าใช้จ่ายมาก แต่ข้อดีคือไม่เห็นแผลเป็นเพราะนำเนื้อเยื่อจากก้น บริเวณรอยพับแก้มก้น ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ในร่มผ้า จึงไม่มีปัญหาเรื่องของรอยแผลเป็นและการสวมใส่เสื้อผ้า
(3) การเพิ่มขนาดโดยการใช้เนื้อเยื่อหลอดเลือดภายในถุงอัณฑะ (Cavernosal augmentation) เป็นการนำเนื้อเยื่อหลอดเลือดดำ (Saphenous vein graft) จากบริเวณขามาปะเข้าไปแทนเนื้อเยื่อเดิมขององคชาต โดยการผ่าตัดเปิดแผลทางด้านข้างของเนื้อเยื่อหุ้มรอบแกนองคชาต (Tunica albuginea) แล้วนำมาปะเข้าไปแทนเนื้อเยื่อเดิม เพื่อทำให้องคชาตพองออกได้มากขึ้น ซึ่งมีรายงานในผู้ป่วย 39 ราย พบว่ามีเส้นผ่าศูนย์กลางขององคชาตในขณะแข็งตัวเพิ่มขึ้นภายหลังการผ่าตัด 1.1-2.1 เซนติเมตร และไม่มีรายงานถึงผลแทรกซ้อนที่รุนแรง หลังการผ่าตัดช่วงแรกพบว่าองคชาติโค้งงอเล็กน้อย แต่จะหายไปได้เองภายใน 3 เดือน ข้อเสียคือ มีแผลผ่าตัดขนาดใหญ่บริเวณข้อเท้าหรือต้นขา และใช้เวลานานในการผ่าตัดที่นานมากขึ้น
(4) การเพิ่มขนาดโดยการใช้วัสดุสังเคราะห์หุ้มแกนกลางอวัยวะเพศ ปัจจุบันมีวัสดุสังเคราะห์โพลีเมอร์ที่มีชื่อว่า PLGA (Polylactic glycolic acid) หรือไหมละลาย PLGA ที่สามารถนำมาผ่าตัดเพิ่มขนาดให้กับอวัยวะเพศชายได้ PLGA เป็นวัสดุทางการแพทย์ที่ผ่านการทดลองการห้องปฏิบัติการแล้วว่าสามารถย่อยสลายได้เอง และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ โดยการผ่าตัดแล้วนำมาพันเป็นห่วงวงกลม ทำให้มีช่องว่างหรือรูพรุนอยู่ภายใน เพื่อนำมาสวมเข้าไปในองคชาต ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับการขลิบปลายหนังหุ้มปลายและรูดหนังลง เพื่อใส่ห่วงเข้าไปในอวัยวะเพศ จากนั้น เซลล์ในร่างกายจะสร้างตัวและเข้าไปอยู่แทนที่รูพรุนในห่วง โดยไหมจะสลายตัวภายใน 2-3 เดือน เมื่อไหมละลายไปหมดแล้ว เซลล์ที่อยู่ในรูพรุนจากการเสริมด้วยไหมก็จะกลายเป็นส่วนเดียวกันกับองคชาต วิธีนี้เป็นการผ่าตัดเล็กใช้เวลาประมาณ 40 นาที หลังจากผ่าตัดองคชาตจะดูมีขนาดใหญ่ขึ้น และคงตัวในช่วงเวลา 1 ปี อาจมีขนาดเล็กลงหลังจากผ่าตัดประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ และสามารถใช้งานได้หลังจากการผ่าตัด 6 สัปดาห์
นับว่ามีหลากหลายวิธีเลยทีเดียวสำหรับการเพิ่มขนาดให้กับอวัยวะเพศชาย หากใครที่สนใจควรปรึกษาแพทย์ เพื่อขอรับข้อมูลที่ถูกต้อง และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการผ่าตัด หลังผ่าตัดควรดูแลแผลให้ดี เพื่อป้องกันการอักเสบติดเชื้อและโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นสิ่งสำคัญคือไม่ควรคาดหวังมากนักกับผลการผ่าตัดที่จะได้รับ เพราะหากขนาดไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่ต้องการอาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจได้
โดยสรุป การผ่าตัดเพิ่มขนาดองคชาต ยังไม่มีวิธีที่ได้ผลดีและลงตัวเหมือนกับการเสริขนาดเต้มนมในเพศหญิง นอกจากนี้ในแง่ของความสวยงาม ความมั่นใจในตนเองของผู้ชาย ก็ยังเป็นที่วิพากษ์วิตารณ์กันอย่างมาก เพราะองคชาตไม่ใช่อวัยวะที่จะมาโชว์เปิดเผยต่อที่สาธารณะ มีเพียงคู่นอนของคนไข้เท่านั้นที่เห็น จากประสบการณ์ของผมเองจะพบว่าคนไข้ที่มีขนาดองคชาตเล็กจริงๆ พบได้น้อยมากและแก้ไขด้วยวิธีง่ายๆ ได้ยาก ยกเว้นแต่จะใช้เนื้อจากบริเวณอื่น เช่น บริเวณแขน มาทำเป็นองคชาต แต่เป็นการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะเนื้อที่เอามาต่ออาจจะตายจากากรต่อเส้นเลือดขนาดเล็ก และบริเวณที่ตัดเนื้ออกไปยังต้องใช้หนังมาปะ เมื่อต่อทุกอย่างดีแล้วยังต้องมาใส่แกนองคชาตเทียม จึงมีค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงสูงมาก
ศ.นพ.สมบุญ เหลืองวัฒนากิจ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินปัสสาวะ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)