Haijai.com


เป็นหวัด ต้องกินยาแก้อักเสบหรือไม่


 
เปิดอ่าน 3376

เป็นหวัด ต้องกินยาแก้อักเสบหรือไม่

 

 

“เป็นหวัดหรือมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลัน ต้องกินหรือจ่ายยาแก้อักเสบ” เป็นความเชื่อของผู้ป่วย เภสัชกร หรือแพทย์บางท่าน ที่ยากแก่การแก้ไข ความเชื่อดังกล่าวมีอะไรบ้าง

 

 

ความเชื่อที่ทำให้คนบางส่วนใช้ยาแก้อักเสบในกรณีโรคหวัด เพราะมักเชื่อว่า

 

 การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ต้องกินยาแก้ออักเสบหรือยาต้านจุลชีพ (Antibiotic) จึงจะหาย

 

 

 การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ถึงแม้จะเกิดจากเชื้อไวรัส ต้องกินยาแก้อักเสบไว้ก่อน เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม เพราะถ้าปล่อยให้แบคทีเรียซ้ำเติม อาการจะแย่ลงหรือหนักมากขึ้นกันไว้ก่อนดีกว่า

 

 

 การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ไม่ว่าจะเกิดจากเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย จะเกิดการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนบน ถ้าไม่กินยาแก้อักเสบจะไม่หาย เพราะหายไม่หายอยู่ที่ยาแก้อักเสบเป็นสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่อย่างอื่น

 

 

เป็นหวัดหรือติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนมีอะไรบ้าง

 

การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ได้แก่

 

 โรคจมูกอักเสบ หรือที่มักเรียกว่า “หวัด” ทำให้มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดหรือมึนศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล (มีสีใส ขุ่น หรือเหลืองเขียว)

 

 

 โรคไซนัสอักเสบ ทำให้มีไข้ คัดจมูก น้ำมูก หรือเสมหะ มีสีเหลืองหรือเขียวข้นตลอด ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น อ่อนเพลีย ไอ ปวดศีรษะ ปวดจมูก โหนกแก้ม รอบตา หรือหน้าผาก

 

 

 โรคหูชั้นกลางอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยมีไข้ ปวดหู หูอื้อ อาจมีหนองไหลออกมาจากหู มีเสียงดังในหู อาจมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุนได้ในผู้ป่วยบางราย

 

 

 โรคคอ หรือต่อมทอนซิลอักเสบ ทำให้มีไข้ เจ็บคอ กลืนอาหาร หรือกลืนน้ำลายแล้วเจ็บหรือติดขัด

 

 

 โรคสายเสียงหรือกล่องเสียงอักเสบ ทำให้ไอ ระคายคอ มีเสียงแหบแห้ง

 

 

 โรคหลอดลมอักเสบ ทำให้ไอ มีเสมหะ เจ็บหน้าอก

 

 

 โรคปอดอักเสบ หรือปอดบวม ทำให้มีไข้ ไอ หอบ

 

 

ส่วนใหญ่เมื่อมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยมักจะซื้อยาแก้อักเสบกินเอง หรือเภสัชกรที่ร้านขายยาเป็นผู้จ่ายยาให้ หรือแม้แต่แพทย์เองก็จ่ายยาแก้อักเสบ ให้ผู้ป่วยกินเนื่องจากเชื่อเช่นเดียวกับผู้ป่วย หรือทราบแต่ไม่มีเวลาอธิบายให้ผู้ป่วยฟัง หรืออธิบายแล้วแต่ผู้ป่วยก็ไม่เชื่ออยู่ดี และรบเร้าให้แพทย์จ่ายยาแก้อักเสบ จึงจ่ายให้เพื่อตัดความรำคาญ ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว สาเหตุส่วนใหญ่ของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจนั้น เกิดจากเชื้อไวรัส (ได้แก่ Rhinovirus, Influenza viruses, Parainfluenza viruses, Adenoviruses) จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่ต้องกินยาแก้อักเสบ เมื่อผู้ป่วยมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เป็นมาไม่เกิน 7-10 เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง ถ้าผู้ป่วยปฏิบัติตนอย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่ถ้าผู้ป่วยมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจมานานเกิน 7-10 วัน (มักจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย) หรือมีหลักฐานที่บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินหายใจ การกินยาแก้อักเสบในกรณีดังกล่าวจึงสมเหตุสมผล

 

 

นอกจากนั้นความเชื่ออีกอย่างหนึ่งที่มักเข้าใจกันผิด คือ ดูสีของน้ำมูกหรือเสมหะ ถ้าน้ำมูกหรือเสมหะมีสีเหลืองหรือเขียว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแน่นอน ต้องกินยาแก้อักเสบจึงจะหาย ความเป็นจริงแล้ว การที่น้ำมูกหรือเสมหะค้างอยู่ในจมูกหรือหลอดลมนานๆ ก็จะทำให้น้ำมูกหรือเสมหะมีสีเหลืองหรือเขียวได้ โดยที่ไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้น ประวัติที่ได้จากผู้ป่วยว่าน้ำมูก หรือเสมหะมีสีเหลืองหรือเขียว ไม่ได้บ่งบอกว่าผู้ป่วย ติดเชื้อแบคทีเรียและต้องกินยาแก้อักเสบเสมอไป

 

 

บางกรณี ถึงแม้การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ส่วนบนเป็นมาไม่เกิน 7-10 วัน แต่อาจมีความจำเป็นต้องกินยาแก้อักเสบ เนื่องจากมักมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่

 

 

 ผู้ป่วยเป็นโรคไซนัสอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย นอกจากอาการดังกล่าวข้างต้นแล้ว การตรวจจมูกจะพบเยื่อบุจมูกบวม แดง มีน้ำมูก สีเหลืองหรือเขียวภายในโพรงจมูก หรือมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียวไหลลงคอ อาจมีการกดเจ็บที่บริเวณหน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม

 

 

 ผู้ป่วยเป็นโรคต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากอาการดังกล่าวข้างต้นแล้ว การตรวจคอจะพบต่อมทอนซิลบวม แดง มีตุ่มหนองบนต่อมทอนซิล อาจพบจุดเลือดออกบนเพดานอ่อน หรือมีต่อมน้ำเหลืองที่คอโต และกดเจ็บ

 

 

 ผู้ป่วยเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยมักมีประวัติไข้หวัดหรือจมูกอักเสบนำมาก่อน ต่อมามีอาการดังกล่าวข้างต้น ตรวจหูพบเยื่อแก้วหูบวม แดง ทึบ อาจเห็นระดับหนองภายในหูชั้นกลางหลังเยื่อแก้วหู ซึ่งกรณีดังกล่าวควรให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยโรค

 

 

ดังนั้นความเชื่อแรกจึงไม่ถูกต้อง เพราะผู้ป่วยกินยาแก้อักเสบ ซึ่งฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แต่การเจ็บป่วยของผู้ป่วยมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส การกินยาแก้อักเสบ จึงไม่ช่วยอะไร ซ้ำร้ายยังกระตุ้นให้แบคทีเรียที่อยู่ประจำในจมูกและลำคอ มีการดื้อยาเพิ่มขึ้นด้วย

 

 

สำหรับความเชื้อที่ 2 นั้นจากการศึกษาพบว่า การกินยาแก้อักเสบไม่ได้ช่วยป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม แถมยังมีผลเสียทำให้เชื้อแบคทีเรียเกิดการดื้อยาเพิ่มขึ้นอีกด้วย

 

 

ส่วนความเชื้อที่ 3 การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ จะหายหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยว่าสามารถหลีกเลี่ยงเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีภูมิต้านทานลดลง และนำมาสู่การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้หรือไม่ (เช่น เครียด นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ โดนหรือสัมผัสอากาศที่เย็นมากๆ ตากฝนสัมผัสอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สัมผัสกับคนรอบข้างที่ป่วย) และปฏิบัติตัวได้เหมาะสมหรือถูกต้องหรือไม่ เพราะการที่ผู้ป่วยจะหายหรือไม่หายนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยาที่แพทย์จ่ายให้ หรือยาแก้อักเสบ

 

 

ดังนั้น ท่านมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจแล้วระครับ ว่าเมื่อท่านมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ท่านควรจะกินยาแก้อักเสบหรือไม่

 

 

รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคจมูกและภูมิแพ้

(Some images used under license from Shutterstock.com.)