
© 2017 Copyright - Haijai.com
เชื้อโรค ดื้อยาปฏิชีวนะ
สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งวงการแพทย์เริ่มสามารถผลิตยาเพนนิซิลินจำนวนมากขึ้นมาใช้รักษาโรคติดเชื้อ ทำให้ทหารที่บาดเจ็บในสงครามรอดตายจากการติดเชื้อได้มาก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาได้มีการผลตยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้นมาหลายตัว ทำให้มนุษยชาติมีความหวังมากึ้น แต่ตกมาถึงยุคปัจจุบันวงการแพทย์เริ่มจะพบปัญหาใหญ่ คือ ปัญหาเชื้อโรคดื้อยาปฏิชีวนะ เฉพาะในสหรัฐมีคนไข้ประมาณ 2 ล้านคน ที่ติดเชื้อดื้อยาในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 23,000 รายต่อปี เชื้อโรคดื้อยาที่ทำให้ตายนี้ เรียกว่า “Super Bug” จากรายงานขององค์การอนามัยโลก “Super Bug” นี้ มีอยู่ทั่วโลก ในบางประเทศประมาณร้อยละ 50 ของคนไข้ที่ติดเชื้อ K. pneumonia หรือ E. coli ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะที่แรงๆ นั่นหมายความว่าหมอชักจะหมดทางสู้เชื้อโรคมากขึ้นเรื่อยๆ
เชื้อโรคมีการพัฒนาการดื้อยามาตั้งแต่เราเริ่มค้นพบยาปฏิชีวนะในปี พ.ส. 2471 แล้ว แต่สาเหตุอย่างหนึ่งในปัจจุบันที่ทำให้เชิ้อคดื้อยามากขึ้นก็คือ การใช้ยาปฏิชีวนะที่มากเกินจำเป็น เช่น การที่หมอสั่งยาให้มากเกินไปหรือสั่งยาตามใจคนไข้ใช้สบู่ยาล้างมือ และที่สำคัญคืออุตสาหกรรมปศุสัตว์ในปัจจุบันนี้ มีการใช้ยาปฏิชีวนะให้สัตว์กินเพื่อลดจำนวนแบคทีเรียในลำไส้ ไม่ให้แย่งสารอาหารของสัตว์ ส่งผลให้สัตว์อ้วนท้วนมีน้ำหนักขายได้ราคาดี จึงมีการต่อต้านการใช้ยามากเกินไปมากขึ้น โดยเริ่มต้นในประเทศตะวันตก
ในฝรั่งเศสเคยมีรายงานว่าแพทย์ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในยุโรป จึงมีการรณรงค์ให้แพทย์ใช้ยานี้น้อยลงได้ถึงร้อยละ 26 ภายในเวลา 6 ปี ที่สวีเดนมีกฎหมายควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะในปศุสัตว์ ทำให้การขายขาให้กลุ่มผู้เลี้ยงปศุสัตว์ลดลงร้อยละ 67 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 ประเทศเนเธอร์แลนด์และเดนมาร์คก็จำกัดการใช้แบบนี้เหมือนกัน แต่ในสหรัฐอเมริกายังมีปัญหาเรื่องนี้อยู่ อย่างไรก็ตามเมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ออกแนวทางการปฏิบัติ เพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะในปศุสัตว์ แต่ให้เป็นไปแบบสมัครใจ นอกจากนี้ยังมีการบังคับให้ผู้ผลิตและโฆษณาการใช้สบู่ยาฆ่าเชื้อโรค ต้องแสดงหลักฐานยืนยันผลการใช้สบู่ยาว่าดีจริง สำหรับเมืองไทยเราจำเป็นต้องตื่นตัวในเรื่องนี้กันได้แล้ว เนื่องจากปัญหาเชื้อโรคดื้อยามีแน้วโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้น
(Some images used under license from Shutterstock.com.)