
© 2017 Copyright - Haijai.com
เลี้ยงลูกให้ฉลาด ทำได้ไม่ยาก
พ่อแม่ทุกคนคงอยากให้ลูกของตัวเองเป็นเด็กเก่ง เด็กดี เด็กฉลาด บางท่านก็คาดหวังอยากให้ลูกเป็นอัจฉริยะ มีคำแนะนำมากมายในหนังสือเกี่ยวกับการเป็นอัจฉริยะที่สามารถสร้างกันได้ บางคนส่งลูกเข้าสถาบันเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่ยังไม่ตั้งไข่ อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ “จะทำอย่างไร ให้ลูกเป็นเด็กฉลาด”
ก่อนอื่นต้องปรับความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า คำว่า “ลูกฉลาด” หมายความว่าอย่างไร คำว่า “ฉลาด” หมายถึงการมีพัฒนาการและการเจริญเติบโต ทั้งด้านร่างกาย ภาษา สติปัญญาที่สมวัย ไม่ช้าเกินเกณฑ์ และได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม เด็กในช่วงอายุที่ต่างกันย่อมมีจุดสำคัญในการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน จึงขอกล่าวแบ่งเป็นช่วงอายุ โดยในบทความนี้จะเริ่มที่เด็กแรกเกิดจนถึง 6 เดือน ซึ่งมีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
การสัมผัส การสัมผัสเป็นวิธีการตุ้นพัฒนาการชั้นเลิศให้กับลูกน้อย ได้มีงานวิจัยออกมาแล้วว่าการสัมผัส ช่วยเชื่อมโยงพัฒนาการการเรียนรู้ เสริมพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
ข้อแนะนำ สังเกตว่าเด็กชอบให้ลูบ คลอเคลีย หรือสัมผัสบริเวใด เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ริมฝีปาก หน้าอก ศีรษะเด็กแต่ละคนจะมีบริเวณที่ชอบให้ลูกไล้แตกต่างกัน ค้นหาให้เจอ แล้วลูกสัมผัสบริเวณนั้นบ่อยๆ
อาหาร เป็นสิ่งที่สำคัญมากในเด็กแรกเกิด โดยอาหารที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้น “นมแม่” เพราะมีทั้งไขมันที่ดี ช่วยเสริมสร้างเซลล์ประสาทเพื่อการทำงานของระบบประสาทอย่างมีประสิทธิภาพ นมแม่ยังมีภูมิคุ้มกันที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ รวมทั้งลดโอกาสการเป็นภูมิแพ้ด้วย
ข้อแนะนำ ในเด็กแรกเกิดที่ไม่มีข้อห้ามด้านการให้นมแม่ (เช่น แม่เป็นโรคติดเชื้อ เป็นต้น) ควรรีบให้นมแม่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ให้สังเกตว่าน้ำหนักเด็กจะลดลงในช่วง 1 สัปดาห์แรก ซึ่งเป็นกลไกตามธรรมชาติ แต่หลังจาก 1 สัปดาห์ น้ำหนักเด็ก ควรขึ้นวันละ 20-30 กรัมเป็นอย่างน้อย หรือประมาณ 1 กิโลกรัมต่อเดือน
การได้ยิน เด็กชอบฟังเสียง โดยเฉพาะโทนเสียงสูงต่ำของคน
ข้อแนะนำ พูดกับเด็กให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และสามารถทำได้ทุกขณะ เช่น ตอนให้น้ำนม อาบน้ำ เป็นต้น และควรตอบสนองต่อเสียงที่เด็กร้องออกมา ด้วยการส่งตอบกลับหรือเลียนเสียงเด็ก เพราะเด็กจะรับรู้ว่าตนเองสำคัญ ไม่ได้ถูกปล่อยทอดทิ้ง
การมองเห็น เด็กแรกเกิดจะยังมองเห็นไม่ชัดในทีแรก เด็กจะเห็นได้ในระยะ 1 ฟุตเท่านั้น และสามารถรับรู้เพียงการเคลื่อนไหวของสิ่งที่ไกลกว่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่มีสีจัด
ข้อแนะนำ กระตุ้นพัฒนาการด้วยของเล่นที่เคลื่อนไหวและมีสีสด เช่น โมบายหลากสีให้เด็กมองตาม ถ้าทำได้ควรจัดให้สิ่งของนั้นอยู่ในระยะ 1 ฟุต
การสัมผัส เรื่องการสัมผัสยังคงเป็นสิ่งที่เด็กต้องการเหมือนเด็กในช่วงแรกเกิด
ข้อแนะนำ เด็กวัยนี้ยังคงต้องการการกอด การอุ้ม การสัมผัส ไม่ต่างกัน พ่อแม่ ควรสัมผัสลูบไล้ลูกบ่อยๆ
การได้ยิน พ่อแม่หลายท่านมีความเชื่อว่า “เสียงเพลง” จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการและอัจฉริยภาพของเด็ก แต่จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า ผลจากการให้เด็กฟังเสียงดนตรี ไม่มีความเกี่ยวข้องชัดเจนกับพัฒนาการทางภาษาที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งการเปิดดนตรีที่มากเกินไป เช่น การเปิดดนตรีทั้งวันจะทำให้รบกวนการสื่อสารระหว่างแม่กับลูกได้
ข้อแนะนำ ควรพูดกับเด็กบ่อยๆ และใช้ดนตรีเปิดเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้น เช่น เวลากล่อมนอน ไม่ควรเปิดคลอตลอดทั้งวัน
การมองเห็น เด็กในวัยนี้เริ่มมองเห็นได้เกือบเท่าเด็กโตแล้ว
ข้อแนะนำ พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องนำสิ่งของมาวางใกล้ๆ อีกต่อไป
ภาษา เด็กวัยนี้จะเริ่มมีพัฒนาการทางภาษาเพิ่มขึ้น ในช่วง 2 เดือนจะเริ่มส่งเสียงอู้อ้าหรือเสียงพยางค์ที่ไม่มีความหมาย ต่อมาในช่วง 5 เดือน เด็กจะเริ่มทำเสียงได้หลากหลายมากขึ้น และเริ่มเล่นน้ำลายช่วง 6 เดือน เด็กจะเริ่มส่งเสียงที่คล้ายการพูดมากขึ้น แต่ยังฟังไม่ได้ความหมาย
ข้อแนะนำ คุยกับเด็กบ่อยๆ ส่งเสียง ตอบสนองต่อการแสดงออกของเขา ให้เด็กรู้ว่าพ่อแม่สนใจเขา ทำท่าทางเหมือนเข้าใจสิ่งที่เด็กต้องการจะสื่อ โดยเสียงเป็นเสียงสูงต่ำช้าแต่ชัด และไม่ควรห้ามไม่ให้เด็กเล่นน้ำลาย
การเคลื่อนไหว เด็กจะเริ่มเคลื่อนไหวตัวเองมากขึ้น โดยพัฒนาการจะเริ่มจากศีรษะไปเท้า
ข้อแนะนำ จัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กมีโอกาสเคลื่อนไหว เช่น พื้นที่นอนนิ่มๆ หาของเล่นมาล่อให้ขยับมากขึ้น หลีกเลี่ยงการนำเด็กใส่เปล เพราะจะจำกัดการเคลื่อนไหวของเด็ก ควรใช้เฉพาะเวลาจำเป็น เช่น เวลากล่อมนอน หลีกเลี่ยงการใช้รถหัดเดิน เนื่องจากไม่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านการเคลื่อนไหว เพราะเด็กจะมองไม่เห็นขาและเท้าของตัวเอง และยังเพิ่มโอกาสเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้มอีกด้วย
การเรียนรู้ ช่วงนี้เด็กจะชอบเรียนรู้ตนเอง เช่น การสำรวจตนเอง เล่นกับตัวเองเป็นหลัก
ข้อแนะนำ ปล่อยให้เด็กดูดนิ้วตนเอง มองมือหรือร่างกายตนเอง โดยพ่อแม่ควรจัดให้เด็กอยู่ในท่าทางที่แตกต่างกัน จะได้ให้เด็กมีการเรียนรู้มากขึ้น นอกจากนี้ยังอาจหาของต่างๆ ให้เด็กได้สำรวจ เช่น อาหารหรือของเล่นที่จับได้ดึงได้ เป็นต้น
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอายุตั้งแต่หนึ่งขวบขึ้นไป เราจะมาดูกันในครั้งหน้านะคะ ว่ามีจุดใดอีกบ้างที่ต้องหใความสำคัญ เพื่อช่วยเสริมความฉลาดให้กับลูก
พญ.วิรัลพัชร ผดุงมณีทรัพย์
แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป
(Some images used under license from Shutterstock.com.)