Haijai.com


ทัชพอยต์ ที่ว่าด้วยเรื่องการกิน


 
เปิดอ่าน 1613

ทัชพอยต์  ที่ว่าด้วยเรื่องการกิน

 

 

ดร. ที.แบรี่ บราเซลตัน  (T.Berry Brazelton M.D.,)  ศาสตราจารย์เกียรติคุณทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้ก่อตั้งหน่วยพัฒนาการเด็กที่โรงพยาบาลเด็กบอสตัน และยังมีผลงานเขียนมากมายที่ขายดีทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ  Touchpoint รู้ทันจังหวะ ก้าวทันพัฒนาการของลูกน้อย ตามแนวทางทัชพอยด์ โมเดล โมเดล เป็นกุมารแพทย์ที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กมานานกว่าสี่สิบห้าปีและมีลูกศิษย์เป็นแพทย์ชื่อดังทั่วโลก   ดร.บราเซลตันยังได้จัดสร้างมูลนิธิบราเซลตัน ( brazelton foundation.org ) เพื่อสนับสนุนการฝึกฝนในเรื่องพัฒนาการของเด็ก  แก่ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสุขอนามัยและการศึกษาของเด็กทั่วโลก

 

 

เรามาอ่านทำความเข้าใจ เพื่อให้รู้ทันจังหวะก้าวทันพัฒนาการลูกน้อยว่าด้วยเรื่อง การกิน ซึ่งในมุมมองในทฤษฎีทัชพอยด์ Touchpoints ของดร.บราเซลตันได้ระบุไว้ในหนังสือ ชุด Feeding The Brazelton Way การให้อาหารลูกน้อยตามวิธีบราเซลตัน หนังสือที่ขายดีที่กุมารแพทย์ชาวอเมริกันแนะนำให้แม่มือใหม่อ่าน ได้มีรายละเอียดต่อไปดังนี้คะ

 

 

ความต้องการทางโภชนาการ

 

ความต้องการทางโภชนาการการเปลี่ยนขณะที่เด็กโตขึ้น มีช่วงเวลาที่เด็กจะเติบโตอย่างเร็วมากอยู่สองสามช่วง ในขวบปีแรกเป็นช่วงที่มีการเติบโตสำคัญมากกว่าช่วงอื่นๆ ในวัยเด็ก : น้ำหนักเพิ่มขึ้น 200 เปอร์เซ็นต์, ความสูงเพิ่มขึ้น 55 เปอร์เซ็นต์และความยาวรอบวงของศีรษะเพิ่มขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์! ช่วงต่อมาที่การเจริญเติบโตของลูกจะทำให้พ่อแม่ต้องประหลาดใจอีกครั้ง ก็คือในช่วงที่กำลังเติบโตเตรียมเข้าสู่วัยรุ่น และไม่น่าประหลาดใจเลย ที่ความต้องการทางโภชนาการของเด็กจะสูงที่สุดในช่วงเหล่านั้นตามไปด้วย

 

 

ในสัปดาห์แรกหรือสัปดาห์ที่สองของชีวิต ทารกแรกคลอดกำลังยุ่งอยู่กับการปรับตัวสู่สิ่งแวดล้อมใหม่ และพวกเขาก็สูญเสียน้ำหนักไปบ้าง หลังจากสัปดาห์แรกหรือหลังจากนั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเริ่มกินแล้ว ซึ่งอาจดูไม่มากเหมือนเด็กโต แต่แน่นอนว่าเด็กทารกกินบ่อยมากกว่าเด็กโต เหตุผลหนึ่งที่ การต่อสู้ดิ้นรนในเรื่องอาหารเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ หลังจากขวบปีแรก ก็เป็นเพราะอัตราการเติบโตของเด็กเริ่มที่จะช้าลง และพ่อแม่อาจไม่ตระหนักว่าลูกของพวกเขามักจะหิวน้อยลง และอาจไม่ต้องการกินมากนัก

 

 

ถึงอย่างไร การเติบโตที่ช้าลงนี้ก็มีขอบเขตจำกัด แม้ว่าการเติบโตได้ช้าลงเมื่ออายุ 1 ขวบ แต่ระดับของกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นมากขึ้น เช่นการคลาน การยืน และเดิน ที่ต้องใช้พลังงานอย่างมาก ก็ต้องการแคลอรีเป็นดังเชื้อเพลิง

 

 

ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จำช่วงการเติบโตแบบพุ่งพรวดในตอนที่ลูกเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นไม่ได้ ทั้งในเรื่องอาหารการกิน ที่ต้องซื้อเพิ่มขึ้นมากมาย จนประตูตู้เย็นแทบจะปิดไม่ได้ และตัวเอง ก็ดูเหมือนว่าจะโตพุ่งขึ้นในชั่วข้ามคืนทีเดียว

 

 

สำหรับเด็กส่วนใหญ่ ความหิวเป็นตัวนำทางสู่ความต้องการกินอาหารที่ดีที่สุด และความหิวของพวกเขาจะหายไปได้ ถ้าพวกเขาได้รับอาหารที่ไม่สมดุล เช่น กินสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป (ตัวอย่างเช่น น้ำอัดลม และของหวานอื่นหรือไขมันอิ่มตัว) และขาดสารอาหารอย่างอื่น ซึ่งจะทำให้พวกเขาอิ่ม แต่ไม่ช่วยในการเจริญเติบโต หากคุณไม่แน่ใจเรื่องความต้องการอาหารของเด็กหรือกลัวว่าลูกจะเติบโตไม่เพียงพอ ก็ควรปรึกษาคุณหมอของลูก ซึ่งคุณหมอจะทำการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง และวัดรอบศีรษะ หาสาเหตุของการไม่เติบโตของเด็ก และอาจแนะนำนักโภชนาการเพื่อช่วยคุณในเรื่องที่เกี่ยวกับอาหารที่จำเป็นในการเติบโตของลูกคุณต่อไป

 

 

แน่นอนว่า เด็กจำเป็นต้องได้รับโปรตีนที่มีประโยชน์อย่างสมดุล (ตัวอย่างเช่น ปลา, ไก่, ถั่ว, เต้าหู้และเนื้อแดง), ไขมัน (เช่น น้ำมันพืช รวมทั้งไขมันในเนื้อสัตว์, ผลิตภัณฑ์นมและแม้แต่ปลาหรือเมล็ดพืช) และคาร์โบไฮเดรต (เช่น ขนมปังที่บดทั้งเมล็ด, พาสต้า, ข้าว, ผัก, ผลไม้และผลิตภัณฑ์นม)

 

 

ในปิรามิดอาหารโดยกระทรวงเกษตรฯ ของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันนี้ ได้แนะนำปริมาณอาหารหลากหลายประเภทที่เด็กอายุ 2-6 ขวบควรรับประทานทุกวัน ดังต่อไปนี้

 

 

 เมล็ดพืช (ขนมปัง, พาสต้า, ข้าว และอื่นๆ) 6 ถ้วย

 

 ผัก 3 ถ้วย

 

 ผลไม้ 2 ถ้วย

 

 นม 2 ถ้วย (รวม 16 ออนซ์ในแต่ละวัน)

 

 โปรตีน (เนื้อสัตว์, ถั่ว, ไข่และอื่นๆ) 2 ถ้วย

 

 ไขมันและของหวาน แต่น้อย

 

 

ขนาดการบริโภคอาหารจะเปลี่ยนแปลงตามวัยของเด็ก ในหนึ่งมื้อสำหรับเด็กวัย 4 ขวบ อาจเป็นนมครึ่งถ้วย, ไข่ 1 ฟองหรือเนื้อไม่ติดมัน 1-2 ออนซ์, ข้าว 1/3 ถ้วยหรือธัญญาหาร, สลัด 1/2 ถ้วยและกล้วยหรือ แอปเปิ้ล ½ ถ้วย

 

 

เด็กยังต้องการสมดุลที่มีประโยชน์ของวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่างๆ วิธีที่ดีที่สุดจะทำให้เด็กได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนเหล่านี้ ก็คือ การให้ลูกได้รับประทานอาหารที่หลากหลายมากที่สุด

 

 

ความจำเป็นของสมดุลในอาหารจะเปลี่ยนแปลงขณะที่เด็กเติบโตขึ้นในช่วงทารก มักมีแนวโน้มว่าจะขาดวิตามินดีและธาตุเหล็ก ต่อมาในวัยเด็กแคลเซียมมักจะไม่เพียงพอ มีหนังสือที่มีประโยชน์หลายเล่มที่มีรายละเอียดของข้อมูลเรื่องความต้องการทางโภชนาการของเด็กในขณะกำลังพัฒนา ควรขอคำปรึกษาคุณหมอของลูกในเรื่องสมดุลในอาหารของลูกคุณ สำหรับเด็กหลายๆ คน การเสริมวิตามินเสริมไม่จำเป็น อีกทั้งวิตามินและเกลือแร่บางอย่างก็อาจเป็นอันตรายได้หากให้ในปริมาณที่มากเกินไปครับ

(Some images used under license from Shutterstock.com.)