Haijai.com


ประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม


 
เปิดอ่าน 3876

ประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม

 

 

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสพาครอบครัวและลูกๆ ไปเยี่ยมพี่ชายที่เพิ่งผ่าตัดที่อเมริกา  ผมเลยตั้งใจวางแผนที่จะใช้โอกาสนี้ไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงเวลาเกือบสามสัปดาห์ที่อยู่ที่นั่น  ผมคาดหวังว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่ผมกับลูกๆ ได้สร้างความสนิมสนมคุ้นเคย  และสร้างสัมพันธ์ที่ดีแบบพ่อๆ ลูก ๆ ผมกับภรรยาได้วางแผนทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยก่อนไป  นับตั้งแต่การจองโรงแรม  เช่ารถ  ซื้อบัตรผ่านประตูสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่การค้นหาร้านอาหารใกล้เคียงจาก Google  จริงๆ แล้วผมคิดไตร่ตรองอยู่หลายรอบครับว่าที่ผมทำเนี่ยมันจะคุ้มหรือไม่  ผมจะเอาลูกๆ ผมไปลำบากหรือเปล่า  ผมจะเลี้ยงลูกๆ ไหวไหม  ผมไม่เคยอยู่กับลูกๆ ตลอด 24 ชั่วโมงครับ  ยิ่งอาบน้ำ  ป้อนข้าว ผมไม่ถนัดเอาเสียเลย  ผมยอมรับว่าผมกลัว  แต่จะทำไงได้ล่ะครับ  ทุกอย่างก็ต้องมีครั้งแรก

 

 

แล้ววันที่ผมกับครอบครัวต้องบินก็มาถึงครับ  ลูก ๆ ตื่นเต้นกันน่าดู  ผมกับภรรยาก็ตื่นเต้นครับ  แต่จะแฝงความกลัวและความกังวลเพิ่มไปด้วย  พวกเราเคยไปแต่ฮ่องกงครับที่ใกล้สุด  แต่นั่นมันก็แค่ 3-4 วัน  นั่งเครื่องก็แค่ 2 ชั่วโมง  ภรรยาผมกลัวที่สุดคือการนั่งเครื่องบิน  ไม่ได้กลัวความสูงหรืออะไรหรอกนะครับ  แต่กลัวว่าจะปราบเจ้าสามตัวให้เงียบ ไม่รบกวนคนอื่นได้ยังไง  ลูกของผมอายุ 6 ขวบ  3.10 ขวบ  และ 1.5 ขวบ ครับ  ผมว่าพ่อแม่ท่านใดที่เคยเดินทางไกลพร้อมเด็กเล็กๆ จะต้องเข้าใจความรู้สึกของผมในขณะนั้นแน่นอนครับ  ผมยังจำได้ว่าผมเคยเขียนไว้ว่าในการเลี้ยงลูกสมัยนี้  พวกพ่อแม่อย่างเรามักต้องพึ่งพาเทคโนโลยีกันมาก  ผมว่านี่คือจังหวะที่ดีที่จะพึ่งเทคโนโลยีกับเขาบ้าง  ผมไม่ลืมที่จะพกพาผู้ช่วยตัวสำคัญของผมไปด้วย  นั่นคือ ไอแพด นั่นเองครับ  ผมได้ลงเกมส์หลายอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว  ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะใช้เป็นเครื่องช่วยฆ่าเวลาระหว่างอยู่บนเครื่อง  ครึ่งชั่วโมงแรก เด็กๆ ยังตื่นเต้นครับ  หิวโน่นหิวนี่  หลังจากนั้นเริ่มมีอาการเบื่อให้เห็น  ผมชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยครับ  หลังจากพนักงานเสริฟอาหารมื้อแรกเสร็จ (เป็นอาหารค่ำ) ทางเจ้าหน้าที่ทำการปิดไฟเพื่อให้ผู้โดยสารได้พักผ่อนครับ  ผมกลัวว่าจังหวะนี้เองที่ลูกๆ สุดน่ารักของผมจะดันทำตัวไม่น่ารักขึ้นมาไม่ยอมหลับยอมนอน  แต่ผิดคาดครับ  ทั้งสามหลับปุ๋ยชนิดที่ว่าหมดเรี่ยวหมดแรงมาจากไหนไม่ทราบ  สิบชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว และ 2-3 ชั่วโมงก่อนถึง  ผมต้องพึ่งไอแพดครับ  แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี  ผมถึง LA เวลากลางคืนครับ  ตัวผมน่ะเหนื่อยเต็มที่  พร้อมที่จะนอนได้ทุกเมื่อ  แต่ลูกชายคนดีของผมน่ะสิครับเพิ่งตื่นนอนมาไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง  คุณคิดว่าเขาจะนอนไหมครับ  แน่นอนครับเขาชวนผมคุยอยู่หลายชั่วโมงบนเตียงกว่าจะหมดแรงไปตอนตีสองกว่าๆ  ส่วนที่เหลือก็หลับดีเลยทีเดียว

 

 

ตลอดช่วงระยะเวลาที่อยู่ที่นั่น  ผมคิดว่ามันคือช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต  ผมได้มีโอกาสอาบน้ำให้ลูก  แต่งตัวให้  ป้อนข้าว  ขับรถพาไปเที่ยว และอีกหลาย ๆ อย่างที่ผมไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต  น่าแปลกครับที่ผมไม่มีความรู้สึกกลัวเลย  ผมว่าความรู้สึกของผมมันเปลี่ยนจากความกลัวในตอนแรกมาเป็นความสุข  และความสนุกมากกว่าครับ  แรกๆ ผมยอมรับนะว่าผมกังวลว่าเขาจะไม่กินอะไร  เพราะลูกผมเป็นคนทานยากครับ  แต่เชื่อเถอะครับอยู่ที่นั่นไม่มีได้ทานเป็นมื้อหรอกครับ  หิวเมื่อไรก็ทานตอนนั้น  ภรรยาผมต้องตุนขนมและนมในกระเป๋าเยอะเลย   ผมกลับมานึกตอนหลังว่าไม่รู้ผมจะกลัวอะไร  พอตอนฝากลูกกับพี่เลี้ยงที่บ้านแล้วต้องออกไปข้างนอก  ยังไม่เคยรู้สึกกลัว  ผมนึกขำๆ ว่า นี่เราไว้ใจพี่เลี้ยงมากกว่าตัวเราเองหรือเปล่า  หรือเรากลัวว่าจะไม่รู้ใจลูกเท่าพี่เลี้ยงเรา 

 

 

ผมคิดว่านี่คือประสบการณ์ที่มีค่า  ที่ผมเรียกว่าประสบการณ์  เพราะผมถือว่าผมได้เรียนรู้ในหลาย ๆ อย่างของลูก  ผมเรียนรู้และมั่นใจว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ต้องการพ่อและแม่อย่างเราที่จะมาร่วมแบ่งปันทุกๆ อย่างที่เขามี  ไม่ว่ารอยยิ้มหรือน้ำตา  เขาต้องการความอบอุ่นจากพ่อแม่ เวลาจากพ่อแม่ ความรัก  ความเข้าใจจากพ่อแม่  ไม่ใช่พี่เลี้ยง  ตั้งแต่การเดินทางครั้งนี้  ผมตั้งใจว่าผมจะลาพักร้อนอย่างน้อยปีละสองครั้ง  เพื่อให้ได้มีโอกาสที่จะพาพวกเขาไปเที่ยว  และที่สำคัญได้มีโอกาสใช้เวลาอยู่ร่วมกันให้มากที่สุด  ผมมานั่งนึกดูเวลาแต่ละปีผ่านไปเร็วมาก  เผลอหน่อยเดียวลูกผมคนโตก็ 6 ขวบแล้ว  อีกไม่นานลูกๆ ผมก็คงโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว  ไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นลูกๆ ผมยังจะร้องขอให้ผมพาไปเที่ยวทุกปีอีกหรือไม่

 

 

อาจารย์ ปรมิตร ศรีกุเรชา

(Some images used under license from Shutterstock.com.)