© 2017 Copyright - Haijai.com
ประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสพาครอบครัวและลูกๆ ไปเยี่ยมพี่ชายที่เพิ่งผ่าตัดที่อเมริกา ผมเลยตั้งใจวางแผนที่จะใช้โอกาสนี้ไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงเวลาเกือบสามสัปดาห์ที่อยู่ที่นั่น ผมคาดหวังว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่ผมกับลูกๆ ได้สร้างความสนิมสนมคุ้นเคย และสร้างสัมพันธ์ที่ดีแบบพ่อๆ ลูก ๆ ผมกับภรรยาได้วางแผนทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยก่อนไป นับตั้งแต่การจองโรงแรม เช่ารถ ซื้อบัตรผ่านประตูสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่การค้นหาร้านอาหารใกล้เคียงจาก Google จริงๆ แล้วผมคิดไตร่ตรองอยู่หลายรอบครับว่าที่ผมทำเนี่ยมันจะคุ้มหรือไม่ ผมจะเอาลูกๆ ผมไปลำบากหรือเปล่า ผมจะเลี้ยงลูกๆ ไหวไหม ผมไม่เคยอยู่กับลูกๆ ตลอด 24 ชั่วโมงครับ ยิ่งอาบน้ำ ป้อนข้าว ผมไม่ถนัดเอาเสียเลย ผมยอมรับว่าผมกลัว แต่จะทำไงได้ล่ะครับ ทุกอย่างก็ต้องมีครั้งแรก
แล้ววันที่ผมกับครอบครัวต้องบินก็มาถึงครับ ลูก ๆ ตื่นเต้นกันน่าดู ผมกับภรรยาก็ตื่นเต้นครับ แต่จะแฝงความกลัวและความกังวลเพิ่มไปด้วย พวกเราเคยไปแต่ฮ่องกงครับที่ใกล้สุด แต่นั่นมันก็แค่ 3-4 วัน นั่งเครื่องก็แค่ 2 ชั่วโมง ภรรยาผมกลัวที่สุดคือการนั่งเครื่องบิน ไม่ได้กลัวความสูงหรืออะไรหรอกนะครับ แต่กลัวว่าจะปราบเจ้าสามตัวให้เงียบ ไม่รบกวนคนอื่นได้ยังไง ลูกของผมอายุ 6 ขวบ 3.10 ขวบ และ 1.5 ขวบ ครับ ผมว่าพ่อแม่ท่านใดที่เคยเดินทางไกลพร้อมเด็กเล็กๆ จะต้องเข้าใจความรู้สึกของผมในขณะนั้นแน่นอนครับ ผมยังจำได้ว่าผมเคยเขียนไว้ว่าในการเลี้ยงลูกสมัยนี้ พวกพ่อแม่อย่างเรามักต้องพึ่งพาเทคโนโลยีกันมาก ผมว่านี่คือจังหวะที่ดีที่จะพึ่งเทคโนโลยีกับเขาบ้าง ผมไม่ลืมที่จะพกพาผู้ช่วยตัวสำคัญของผมไปด้วย นั่นคือ ไอแพด นั่นเองครับ ผมได้ลงเกมส์หลายอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะใช้เป็นเครื่องช่วยฆ่าเวลาระหว่างอยู่บนเครื่อง ครึ่งชั่วโมงแรก เด็กๆ ยังตื่นเต้นครับ หิวโน่นหิวนี่ หลังจากนั้นเริ่มมีอาการเบื่อให้เห็น ผมชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยครับ หลังจากพนักงานเสริฟอาหารมื้อแรกเสร็จ (เป็นอาหารค่ำ) ทางเจ้าหน้าที่ทำการปิดไฟเพื่อให้ผู้โดยสารได้พักผ่อนครับ ผมกลัวว่าจังหวะนี้เองที่ลูกๆ สุดน่ารักของผมจะดันทำตัวไม่น่ารักขึ้นมาไม่ยอมหลับยอมนอน แต่ผิดคาดครับ ทั้งสามหลับปุ๋ยชนิดที่ว่าหมดเรี่ยวหมดแรงมาจากไหนไม่ทราบ สิบชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว และ 2-3 ชั่วโมงก่อนถึง ผมต้องพึ่งไอแพดครับ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ผมถึง LA เวลากลางคืนครับ ตัวผมน่ะเหนื่อยเต็มที่ พร้อมที่จะนอนได้ทุกเมื่อ แต่ลูกชายคนดีของผมน่ะสิครับเพิ่งตื่นนอนมาไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง คุณคิดว่าเขาจะนอนไหมครับ แน่นอนครับเขาชวนผมคุยอยู่หลายชั่วโมงบนเตียงกว่าจะหมดแรงไปตอนตีสองกว่าๆ ส่วนที่เหลือก็หลับดีเลยทีเดียว
ตลอดช่วงระยะเวลาที่อยู่ที่นั่น ผมคิดว่ามันคือช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ผมได้มีโอกาสอาบน้ำให้ลูก แต่งตัวให้ ป้อนข้าว ขับรถพาไปเที่ยว และอีกหลาย ๆ อย่างที่ผมไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต น่าแปลกครับที่ผมไม่มีความรู้สึกกลัวเลย ผมว่าความรู้สึกของผมมันเปลี่ยนจากความกลัวในตอนแรกมาเป็นความสุข และความสนุกมากกว่าครับ แรกๆ ผมยอมรับนะว่าผมกังวลว่าเขาจะไม่กินอะไร เพราะลูกผมเป็นคนทานยากครับ แต่เชื่อเถอะครับอยู่ที่นั่นไม่มีได้ทานเป็นมื้อหรอกครับ หิวเมื่อไรก็ทานตอนนั้น ภรรยาผมต้องตุนขนมและนมในกระเป๋าเยอะเลย ผมกลับมานึกตอนหลังว่าไม่รู้ผมจะกลัวอะไร พอตอนฝากลูกกับพี่เลี้ยงที่บ้านแล้วต้องออกไปข้างนอก ยังไม่เคยรู้สึกกลัว ผมนึกขำๆ ว่า นี่เราไว้ใจพี่เลี้ยงมากกว่าตัวเราเองหรือเปล่า หรือเรากลัวว่าจะไม่รู้ใจลูกเท่าพี่เลี้ยงเรา
ผมคิดว่านี่คือประสบการณ์ที่มีค่า ที่ผมเรียกว่าประสบการณ์ เพราะผมถือว่าผมได้เรียนรู้ในหลาย ๆ อย่างของลูก ผมเรียนรู้และมั่นใจว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ต้องการพ่อและแม่อย่างเราที่จะมาร่วมแบ่งปันทุกๆ อย่างที่เขามี ไม่ว่ารอยยิ้มหรือน้ำตา เขาต้องการความอบอุ่นจากพ่อแม่ เวลาจากพ่อแม่ ความรัก ความเข้าใจจากพ่อแม่ ไม่ใช่พี่เลี้ยง ตั้งแต่การเดินทางครั้งนี้ ผมตั้งใจว่าผมจะลาพักร้อนอย่างน้อยปีละสองครั้ง เพื่อให้ได้มีโอกาสที่จะพาพวกเขาไปเที่ยว และที่สำคัญได้มีโอกาสใช้เวลาอยู่ร่วมกันให้มากที่สุด ผมมานั่งนึกดูเวลาแต่ละปีผ่านไปเร็วมาก เผลอหน่อยเดียวลูกผมคนโตก็ 6 ขวบแล้ว อีกไม่นานลูกๆ ผมก็คงโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว ไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นลูกๆ ผมยังจะร้องขอให้ผมพาไปเที่ยวทุกปีอีกหรือไม่
อาจารย์ ปรมิตร ศรีกุเรชา
(Some images used under license from Shutterstock.com.)