Haijai.com


ข้อเข่าเสื่อม


 
เปิดอ่าน 4070

ข้อเข่าเสื่อม

 

 

ข้อเข่าเสื่อม คือ โรคข้อเสื่อมที่เกิดขึ้นกับข้อเข่า โดยมีความผิดปกติต่างๆ ได้แก่ กระดูกอ่อนที่เป็นผิวของข้อเข่าสึกหรอ เยื่อหุ้มข้ออักเสบหนาตัวขึ้น เอ็นรอบข้อหย่อนยานขึ้น ทำให้การกระจายการรับน้ำหนักผิดปกติ ต่อมาเกิดการเคลื่อนไหวของข้อผิดปกติ เช่น ข้อฝืด ติดขัด มีอาการปวดเสียวในข้อ กล้ามเนื้อรอบเข่าแข็งแรงน้อยลง เอ็นยึดข้อหย่อนยาน ทำให้ผู้ป่วยเกิดขาโก่ง หรือขาเก ตลอดจนเดินได้น้อยลง จนทำให้ผู้ป่วยบางรายเกิดความหนาแน่นกระดูกบริเวณข้อเข่าและรอบๆ ข้อบางลง สิ่งต่างๆ ที่ผิดปกติเหล่านี้ล้วนกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วย และเป็นเหตุให้ต้องมาพบแพทย์

 

 

อุบัติการณ์

 

ในประเทศไทยยังไม่มีการเก็บข้อมูลอุบัติการณ์ผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมอย่างเป็นทางการ ประมาณการว่า ประชากรในทวีปเอเชีย มีผู้ป่วยข้อเสื่อมที่มีลักษณะเข่าบิดโก่ง (คือ ข้อเข่าทั้ง 2 ข้างแยกห่างออกจากกัน) จำนวนมากถึงร้อยละ 90-95 ในขณะที่เข่าบิดเก (คือ ข้อเข่าทั้ง 2 ข้างเข้ามาเบียดชนกัน) พบเพียงร้อยละ 5-10 ส่วนประชากรซีกโลกตะวันตก แม้ว่ามีผู้ป่วยข้อเสื่อมที่มีเข่าบิดโก่งมากกว่าเข่าบิดเกเช่นกัน แต่สัดส่วนผู้ป่วยข้อเสื่อมที่มีเข่าบิดโก่งมีเพียงร้อยละ 70-75 ขณะที่สัดส่วนข้อเข่าบิดเกสูงถึงร้อยละ 20-25 ทั้งนี้ข้อมูลผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ คือ ช่วงอายุที่ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมชนิดเข่าบิดโก่งที่มีมุมผิดรูปมากร่วมกับมีอากรปวดมาก เป็นช่วงอายุประมาณใกล้ 70 ปี โดยผู้ป่วยมีระยะเวลาดำเนินของโรคประมาณ 10-15 ปี ตั้งแต่มีอาการน้อยจนมีอาการมาก ในขณะที่กลุ่มข้อเข่าเสื่อมชนิดเข่าบิดเกจะเริ่มเกิดอาการ เมื่ออายุ 50 ปีเศษๆ และอาการจะรุนแรงมากขึ้นเมื่อประมาณอายุ 60 ปี

 

 

ปัจจัยเสี่ยง

 

1.อายุ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีข้อเข่าเสื่อม มีความรุนแรงของโรคสัมพันธ์กับอายุที่มากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามครรลองของโรคที่เกิดจากความเสื่อมโดยธรรมชาติ

 

 

2.วัฒนธรรมการดำเนินชีวิต ทั้งนี้ประเทศในแถบทวีปเอเชียมีผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม โดยเฉพาะชนิดเข่าบิดโก่งคิดเป็นสัดส่วนแล้วมากกว่าผู้ป่วยในประเทศแถบตะวันตกมาก สันนิษฐานว่ามาจากท่านั่งตามวัฒนธรรมแบบเอเชีย เช่น การนั่งขัดสมาธิ การนั่งพับเพียบ หรือการพับเข่ามากกว่าวัฒนธรรมแบบตะวันตก ทั้งนี้มีงานวิจัยในคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่แสดงว่าการนั่งพับเข่าเป็นเวลานาน มีความสัมพันธ์กับข้อเข่าเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้นโดยข้อเข่าซีกในจะเริ่มเสื่อมก่อน

 

 

3.น้ำหนักตัวที่มากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น จะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นข้อเข่าเสื่อม

 

 

อาการและการวินิจฉัย

 

อาการข้อเข่าเสื่อมในระยะเริ่มแรกมักยังไม่ชัดเจน ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกเพียงฝืดๆ ขัดๆ บริเวณข้อเป็นครั้งคราว มักเกิดตามหลังจากที่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน ต่อมาอาการขัดข้อมักเป็นบ่อยขึ้น และอาการปวดจะค่อยๆ เด่นชัดขึ้น บางรายอาจมีการอักเสบเฉียบพลัน ทำให้ข้อบวมและอุ่น โดยอาจเกิดเป็นครั้งคราวหรือเป็นอย่างต่อเนื่อง สำหรับอาการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ ได้แก่ อาการปวดที่เริ่มเป็นบ่อยขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อขยับตัวภายหลังจากอยู่นิ่งๆ เป็นเวลานาน หรือการเคลื่อนไหวของข้อไม่เหมือนเดิม เช่น ข้อเข่าที่เคยเหยียดได้สุดก็เหยียดไม่ได้สุด รูปร่างของขาเปลี่ยนไป และอาการปวดเอว ปวดสะโพก อันมีสาเหตุมาจากการที่ผู้ป่วยเดินโยกตัวเพราะเข่าบิดโก่ง ทำให้เส้นประสาทบริเวณกระดูกสันหลังระคายเคือง หรือกระดูกสันหลังเสื่อมเพิ่มขึ้น ซึ่งอาการที่เกิดบริเวณหลังและร้าวลงขานี้มักพบเมื่อการดำเนินการของโรคเป็นมานานพอควร

 

 

ในการวินิจฉัย แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติ ซึ่งผู้ป่วยที่มีโรคข้อเสื่อมโดยธรรมชาติส่วนใหญ่มักจะมีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป มีลักษณะอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป จากอาการฝืดขัดจนกระทั่งมีอาการปวด และมักมาพบแพทย์เมื่อมีการปวดข้อเกิดขึ้นแล้ว การตรวจร่างกายมักพบว่าผู้ป่วยมีอาการปวดเมื่อขยับข้อ มีเสียงเคลื่อนไหวในข้อลักษณะเสียดสี เหมือนกระดาษทราบถูกัน (crepitation) เนื่องจากผิวข้อไม่เรียบ การเคลื่อนไหวของข้อผิดปกติ เช่น ข้อโยกเยก หรือเคลื่อนไหวได้ไม่เต็มวง เมื่อตรวจเพิ่มเติมจากภาพถ่ายรังสี โดยเฉพาะท่าที่ให้ผู้ป่วยยืนลงน้ำหนักบนขาข้างเดียว มักพบว่าช่องว่างในข้อเข่าระหว่างเข่าซีกในและข้อเข่าซีกนอกกว้างไม่เท่ากัน แสดงว่ากระดูกอ่อนในช่องว่างที่แคบกว่าหายไป นอกจากนี้มักพบกระดูกงอกผิดปกติรอบๆ ข้อ หรือมีเงาที่ขาวผิดปกติบริเวณที่รับน้ำหนักมาก

 

 

การรักษา

 

โรคข้อเข่าเสื่อมระดับปานกลางหรือระดับรุนแรง มักส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วย จึงมีความจำเป็นต้องรักษา โดยเป้าหมายสำคัญในการรักษา คือ บรรเทาอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นให้เป็นที่พอใจ และทำให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ดีตามปกติและเหมาะสมกับวัยของผู้ป่วย การรักษาแบบประคับประคองประกอบด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้

 

 

 

 การปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต ได้แก่

 

การลดน้ำหนักตัว ดังที่กล่าวมาแล้วว่า น้ำหนักตัวเป็นปัจจัยกระตุ้นให้อาการข้อเข่าเสื่อมเป็นมากขึ้น คำแนะนำทั่วไป คือ ควรดูแลให้ค่าดัชนีมวลกายอยู่ในช่วงค่าปกติ คือ ไม่เกิน 25 กก./ตร.ม. หากมีดัชนีมวลกายสูง โดยเฉพาะเมื่อสูงเกิน 30 กก./ตร.ม. แพทย์ถือว่าเป็นโรคอ้วน แนะนำให้ผู้ป่วยทำการลดน้ำหนักลง โดยเป้าหมายคือให้ลดลงประมาณร้อยละ 5 ต่อการลดน้ำหนัก 1 ครั้ง ซึ่งปฏิบัติวิธีง่ายๆ คือ ตั้งเป้าให้น้ำหนักตัวค่อยๆ ลดลงในแต่ละสัปดาห์จนครบร้อยละ 5 ภายใน 2-3 เดือน

 

 

ปรับเปลี่ยนท่าทางในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงท่าที่ต้องพับข้อเข่า เช่น ท่านั่งยองๆ พับเพียบ ขัดสมาธิ และนั่งคุกเข่า

 

 

บริหารกล้ามเนื้อเหยียดข้อเข่าให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยหลักการบริหารแบบไอโซเมตริก (isometric exercise) ซึ่งก็คือการเกร็งกล้ามเนื้อเหยียดข้อเข่าโดยที่ไม่มีการเคลื่อนไหวข้อเข่าให้เป็นเวลาที่เหมาะสม เช่น เกร็งค้าง ไว้นานตั้งแต่ 10–60 วินาที แล้วค่อยคลายออก ทำซ้ำบ่อยๆ วันละ 100-200 เที่ยว การออกกำลังกายแบบแอโรบิค ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป แต่ต้องระมัดระวังท่าที่มีการย่อข้อเข่าที่มากหรือบิดข้อเข่ามาก เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บข้อเข่าได้

 

 

 การทำกายภาพ เช่น การนวดคลึงบริเวณที่ปวด การประคบด้วยความร้อน จะช่วยลดอาการปวดลงได้ โดยไม่มีอันตรายกับข้อเข่า สามารถทำบ่อยครั้งหรือหยุดทำตามการเปลี่ยนแปลงของอาการ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ยังไม่ต้องการใช้ยา

 

 

 การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการปวด ยาที่ใช้ ได้แก่ ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) และ/หรือ ยาแก้ปวด (analgesics) ยาเหล่านี้จะลดอาการปวดที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้ป้องกันการอักเสบหรือปวดในอนาคต ไม่ควรรับประทาน NSAIDs ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เนื่องจากอาจทำให้การทำงานของตับและไตผิดปกติ รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลและมีเลือดออกในทางเดินอาหาร ผู้ป่วยจึงควรรับประทานยาในกลุ่มนี้เฉพาะช่วงที่มีอาการผิดไปจากปกติ เช่น ขณะเวลาที่ไปเที่ยว ผู้ป่วยมักจะมีอาการแย่ลงกว่าปกติ ก็รับประทานยาเฉพาะช่วงที่ไปเที่ยว ช่วงที่กลับบ้านก็หยุดรับประทานยา เป็นต้น

 

 

อนึ่งการใช้ยาบำรุงข้อ เช่น กลูโคซามีนซัลเฟต และคอนดรอยตินนั้น ในปัจจุบันยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกันในเรื่องประโยชน์ของยาชนิดนี้อยู่ เนื่องจากมีผลงานวิจัยที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนประโยชน์ของการใช้ยาเหล่านี้ อย่างไรก็ตามข้อมูลที่เป็นทางการจากสถาบันวิชาการศัลยแพทย์กระดูกและข้อแห่งสหรัฐอเมริกา (American Academy of Orthopaedic Surgeons; AAOS) และสถานบัน National Institute for Health and Clinical Excellence หรือ NICE ของประเทศอังกฤษ ไม่แนะนำให้ใช้ยาบำรุงข้อเหล่านี้ เพราะไม่มีประโยชน์ต่อการรักษาโรค ดังนั้น การจะเลือกใช้ยาในกลุ่มนี้หรือไม่ ควรขึ้นกับการพิจารณาร่วมกันระหว่างความเห็นของแพทย์ และความเชื่อของผู้ป่วย รวมถึงเศรษฐานะของผู้ป่วย

 

 

 การใช้กายอุปกรณ์ เช่น การสวมผ้ายืดปลอกสวมเข่า ในกรณีที่ผู้ป่วยเริ่มมีข้อเข่าผิดรูป ไม่ว่าจะเป็นเข่าบิดโก่งหรือเข่าบิดเก วิธีการนี้จะช่วยพยุงข้อเข่าที่มีปัญหาปวดในขณะเคลื่อนไหวให้เกิดความกระชับขึ้น ลดการเคลื่อนไหวผิดแนวหรือผิดทิศทาง และทำให้แนวแรงกระจายน้ำหนัก ช่วยลดการอักเสบได้ อย่างไรก็ตามการใช้อุปกรณ์เป็นเวลานานๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อรอบๆ ข้ออ่อนแอลง ผู้ป่วยจึงต้องบริหารกล้ามเนื้อเป็นประจำ

 

 

 การผ่าตัด ได้แก่

 

การผ่าตัดล้างข้อ แพทย์จะส่องกล้อง โดยเจาะรูแล้วนำน้ำเข้าไปล้างสารก่อการอักเสบที่อยู่ข้างใน และเล็มเนื้อเยื่อที่ขาดวิ่นทิ้ง สามารถบรรเทาอาการผู้ป่วยได้ประมาณ 3 เดือน ถึง 1 ปี แต่อาจยังไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว

 

 

การผ่าตัดเพื่อจัดกระดูกหน้าแข้ง ปรับมุมรับน้ำหนักให้เข้าสู่แนวทางของข้อ ควรทำเมื่อความผิดปกติในข้อเข่าน้อย แต่มุมที่ขาผิดรูปมาก

 

 

 การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม ใช้ในกรณีที่โรคกำเริบรุนแรงจนเข้าสู่ระยะท้าย ซึ่งผิวข้อมีการสึกหรอลึกถึงเนื้อกระดูก วิธีผ่าตัดในปัจจุบัน แผลจากการผ่าตัดมีขนาดเล็กลงจากเดิมประมาณครึ่งหนึ่ง ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว ทำกิจวัตรต่างๆ ด้วยตนเองได้เร็วขึ้น สามารถแบ่งการผ่าตัดได้เป็น 2 ประเภท คือ การผ่าตัดเปลี่ยนทั้งข้อ (total knee replacement: TKR) และการผ่าตัดเฉพาะส่วน (partial knee replacement) ซึ่งอาจเป็นการเปลี่ยนเพียง 1 ใน 3 ของข้อ (unicompartmental knee replacement: UKA) หรือเปลี่ยนเฉพาะส่วนผิวสะบ้าเท่านั้น (patellofemoral resurfacing) โดยการผ่าตัด TKR ทำเมื่อรอยโรคเป็นทั่วไปทั้งข้อ ส่วน UKR ทำในกรณีที่รอยโรคเป็นเฉพาะข้อซีกใดซีกหนึ่ง หรือ patellofemoral resurfacing ทำในกรณีส่วนสะบ้าและร่องสะบ้าเสื่อม ปัจจุบันความนิยมของการผ่าตัด UKR เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากากรผ่าตัดชนิดนี้แก้ไขปัญหาเฉพาะบริเวณรอยโรคเป็นมากเท่านั้น และเก็บส่วนธรรมชาติของข้อเข่าที่ยังดีอยู่ เมื่อแก้ไขแล้วมุมขาที่บิดเบี้ยวจะกลับมาเป็นปกติ ทำให้ความเสื่อมในส่วนอื่นๆ ของข้อจะถูกชะลอไปเอง และความชอกช้ำของเนื้อเยื่อจะน้อยกว่าการผ่าตัดเปลี่ยนทั้งข้อ จึงมีข้อดีคือผู้ป่วยมักรู้สึกว่าการใช้งานของข้อเข่าเทียมชนิดนี้มีความเป็นข้อธรรมชาติสูง จึงมีความพอใจกับผลการรักษาสูง

 

 

ข้อเสียของการรักษาข้อเสื่อมด้วยการผ่าตัด คือ เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายสูง เพราะข้อเทียมต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และกระบวนการในการผ่าตัดต้องเข้มงวดในเรื่องรายละเอียดการผ่าตัด โดยเฉพาะความปราศจากเชื้อทำให้ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อแต่ละข้างจึงอยู่หลักแสนบาท ในกรณีของโรงพยาบาลรัฐบาล เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ผู้ป่วยที่มีสิทธิข้าราชการสามารถเบิกได้ แต่ต้องชำระส่วนเกิน ได้แก่ ค่าห้องพิเศษ ค่าส่วนเกินข้อเทียม และค่ายาที่เบิกราชการไม่ได้ ทำให้เสียค่าส่วนเกินโดยรวมประมาณ 50,000-60,000 บาท กรณีเลือกใช้บริการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการอาจเสียส่วนเกินเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 80,000-90,000 บาท กรณีเลือกทำการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมที่โรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นอีก คือ อยู่ที่ประมาณ 250,000-500,000 บาท

 

 

ขั้นตอนการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม

 

1.การตัดกระดูก เป็นการเจียกระดูกอ่อนที่สึกหรอของผิวข้อเข่าบริเวณกระดูกต้นขา หน้าแข้ง และสะบ้า

 

 

2.การตกแต่งกระดูกให้ได้มุมรับกับผิวข้อเทียมที่จะใส่เข้าไปใหม่ พร้อมกับเลือกขนาดข้อเทียมที่สวมเข้าพอดีกับกระดูก

 

 

3.การปรับแกนแนวขาให้ตรง โดยปรับเส้นเอ็นรอบข้อเข่าให้มีแรงตึงที่เท่ากัน

 

 

4.การสวมข้อเทียมเข้ากับกระดูก โดยอาศัยสารยึดกระดูก (bone cement) เป็นตัวเชื่อมต่อ

 

 

การดูแลตนเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อ

 

ขณะที่ผู้ป่วยพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลควรทำใจให้สบาย ไม่เครียด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยภาพรวมภายหลังจากการผ่าตัด แพทย์จะแนะนำในเรื่องต่างๆ ในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เนื่องจากเทคโนโลยีการผ่าตัดในปัจจุบันทันสมัยขึ้น ผู้ป่วยจึงฟื้นตัวเร็วกว่าแต่ก่อน จากเดิมที่ต้องนอนบนเตียงเกือบสัปดาห์จึงคอยลุกขึ้นเดิน ก็กลายเป็นเริ่มมีการเดินตั้งแต่วันรุ่งขึ้นหลังจากรับการผ่าตัด นอกจากนี้แล้วแพทย์ยังแนะนำการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยมีภาวะขาบวมและภาวะหลอดเลือดดำไหลเวียนผิดปกติ มีทั้งให้ผู้ป่วยออกกำลังกาย ขยับเท้า ขยับขา จนกระทั่งผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ ซึ่งประเมินจากการที่ผู้ป่วยมีร่างกายแข็งแรงขึ้น ไม่มีไข้ รับประทานอาหารได้ แผลผ่าตัดเป็นปกติ ลุกจากเตียงและเดินได้เองโดยการใช้วอล์คเกอร์ได้ดี และงอข้อเข่าได้อย่างน้อย 90 องศา หลังจากนี้แพทย์จะนัดผู้ป่วยมาตรวจเป็นระยะๆ ได้แก่ 2 สัปดาห์ 6 สัปดาห์ 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี และทุกๆ 6 เดือน หรือทุกๆ 1 ปี โดยในระหว่างนี้ผู้ป่วยอาจจะต้องรับการถ่ายภาพเอกซเรย์ข้อเข่าข้างที่รับการผ่าตัดเป็นระยะๆ

 

 

สุดท้ายนี้ขอฝากถึงผู้อ่านทุกท่านว่า กลุ่มโรคข้อเสื่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เราไม่สามารถห้ามไม่ให้โรคเหล่านี้เกิดขึ้นได้ แต่เราสามารถที่จะควบคุมโรค และอยู่กับมันอย่างมีความสุขได้ ซึ่งวิธีที่จะอยู่กับข้อเสื่อมอย่างมีความสุข คือ เมื่อใดที่พบว่าเรามีปัญหาข้อเสื่อม เราต้องทราบว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อให้ตัวโรคอยู่ในระยะต้น ไม่เกินระยะกลาง เพราะถ้าเมื่อใดโรคอยู่ในระยะต้นไม่เกินระยะกลาง ผู้คนส่วนใหญ่จะดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขตราบจนชั่วชีวิตของเขา ถ้ามีการปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมหรือดำเนินชีวิตต่างๆ อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ครรลองของโรคก็จะดำเนินไปถึงระยะท้าย ซึ่งจะหลีกเลี่ยงการผ่าตัดไม่ได้ ถึงแม้ผลของการผ่าตัดออกมาดีและผู้ป่วยพอใจ แต่มันก็คือการใส่วัสดุเทียมเข้าไปทดแทนข้อธรรมชาติ ถ้าใส่ของเทียมแล้วผู้ป่วยยังไม่ปรับปรุงการดำเนินชีวิตประจำวันให้อยู่ในทางสายกลางของเทียมเหล่านี้ ก็จะหมดอายุอีกรอบหนึ่ง กลับมามีปัญหาอีกรอบหนึ่ง

 

 

ศ.นพ.อารี ตนาวลี

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์

(Some images used under license from Shutterstock.com.)





สิวอุดตันเกิดจาก สิวฮอร์โมน คอลลาเจน สิวไขมัน สิวหัวแข็ง AviClear AviClear Laser สิวไต สิวเสี้ยน หน้าขาวใส หน้าแพ้สาร สิวข้าวสาร หน้าใสไร้สิว หน้าไหม้แดด สิวหัวขาว หน้าแห้ง อาการนอนกรน วิธีลดไขมันทั้งตัว ผิวขาว ผิวหน้า ผู้หญิงนอนกรน หน้ากระจ่างใส วิธีลดไขมันในร่างกาย หน้าเนียนใส หน้าเนียน หน้าหมองคล้ำเกิดจาก กดสิวใกล้ฉัน กดสิวเสี้ยน กดสิว หน้าใส สิวอุดตัน หน้าหมองคล้ำ สิวอักเสบ สิว สิวหัวช้าง หน้าขาว สิวขึ้นคาง สิวผด ครีมลดรอยสิว วิธีแก้การนอนกรนผู้ชาย แก้อาการนอนกรนผู้หญิง วิธีลดหน้าท้องแบบเร่งด่วน Sculpsure ลดไขมันในร่างกาย วิธีลดไขมัน ลดไขมันต้นขา สลายไขมันหน้า ไตรกลีเซอไรด์ เซลลูไลท์ วิธีแก้นอนกรน ลดไขมัน Coolsculpting ทำกี่ครั้ง Sculpsure กับ Coolsculpting นอนกรนเกิดจาก Morpheus8 สลายไขมันหน้าท้อง วิธีลดพุงผู้หญิงเร่งด่วน 3 วัน Body Slim ลดไขมันทั้งตัว วิธีลดพุงผู้ชาย Morpheus8 กับ Ulthera ลดพุงเร่งด่วน วิธีลดไขมันต้นขา ลดพุง ดูดไขมัน วิธีลดหน้าท้อง สลายไขมันด้วยความเย็น คอเลสเตอรอล วิธีลดไขมันหน้าท้อง ไขมัน วิธีลดพุงผู้หญิง Coolsculpting Elite CoolSculpting vs Emsculpt วิธีลดพุง สลายไขมันต้นขา ลดไขมันหน้าท้อง นวดสลายไขมัน ผลไม้ลดความอ้วน ลดน้ำหนักเร่งด่วน อาหารคลีน กินคลีนลดน้ำหนัก ลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน กินคีโต วิธีลดความอ้วนเร็วที่สุด อาหารลดความอ้วน วิธีลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน วิธีลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน ลดความอ้วนเร่งด่วน ผลไม้ลดน้ำหนัก อาหารเสริมลดความอ้วน วิธีลดความอ้วน เมนูลดความอ้วน วิธีการสลายไขมัน ลดความอ้วน สลายไขมัน ลดน้ำหนัก สูตรลดน้ำหนัก Exilis Elite Thermage Body ออฟฟิศซินโดรม Inbody Vaginal Lift Morpheus Pro Oligio Body IV Drip Emsella เลเซอร์นอนกรน Indiba ปากกาลดน้ำหนัก Emsculpt CoolSculpting บทความน่ารู้ บทความกระชับสัดส่วนรูปร่าง บทความดูแลรูปร่างและสุขภาพ บทความรักษาอาการนอนกรน บทความ Morpheus บทความ Coolsculpting บทความโปรแกรมดูแลผิวหน้า ข่าวและกิจกรรม romrawin รมย์รวินท์ Plinest Pico หลุมสิว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ฝ้า กระ IV Weight Loss Thermage Body Pico Laser ราคา สิว กลืนบอลลูนราคา วิธีลดน้ำหนัก วิธีแก้อาการนอนกรน อาการนอนกรน บทความโปรแกรมรักษาอาการนอนกรน เลเซอร์รีแพร์ ดึงหน้าที่ไหนดี ผ่าตัดดึงหน้าราคา Thermage FLX ผ่าตัดดึงหน้า ดึงหน้าราคา ผ่าตัดดึงหน้าที่ไหนดี ดึงหน้า vs ร้อยไหม ศัลยกรรมดึงหน้าราคา เครื่องสลายไขมันด้วยความเย็น Ultraformer MPT ราคา ลดเซลลูไลท์ ฟิลเลอร์แก้มตอบราคา CoolSculpting vs Emsculpt ลดน้ำหนัก วิธีสลายไขมัน สลายไขมัน Alexandrite Laser Dynamic Tech Morpheus Pro สารเติมเต็ม ฟิลเลอร์แท้ ฟิลเลอร์ปลอม เลเซอร์ขนหน้าอก Coolsculpting vs Coolsculpting Elite Morpheus8 ราคา สลายไขมันด้วยความเย็นราคา สลายไขมันด้วยความเย็น ฟิลเลอร์ใต้ตาราคา ดึงหน้า Ultherapy Prime vs Ulthera SPT IPL เลเซอร์ขนแขน YAG Laser Diode Laser ไฮยาลูรอน ฟิลเลอร์น้องชายอันตรายไหม ฉีดสิว Emtone 1 week 1 Kilo ลดน้ำหนัก กลืนบอลลูน Exo Hair Reborn หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ดูดไขมัน ดึงหน้า ตาสองชั้น ทำตาสองชั้น เสริมจมูก ยกคิ้ว เสริมหน้าอก บทความศัลยกรรม วีเนียร์ บทความทันตกรรม Coolsculpting Fit Firm Emsculpt Coolsculpting Elite บทความลดน้ำหนัก ดีท็อกลำไส้ EIS BIO SCAN ICELAB IV DRIP ดริปวิตามิน บทความดูแลสุขภาพ Vaginal Lift P-SHOT O-Shot บทความสุขภาพเพศ Meso Hair LLLT ปลูกผมด้วยแสงเลเซอร์ ปลูกผมผู้ชาย ปลูกผมสำหรับผู้หญิง ปลูกผมถาวร ปลูกผม FUE ปลูกผม รักษาผมร่วง บทความรักษาผมร่วง ผมบาง บทความดูแลเส้นผม เลเซอร์รักแร้ขาว เลเซอร์ขน เลเซอร์บิกินี่ เลเซอร์ขนน้องสาว เลเซอร์ขนหน้า เลเซอร์บิกินี่ เลเซอร์ขนบราซิลเลี่ยน เลเซอร์ขนขา เลเซอร์หนวด เลเซอร์เครา เลเซอร์รักแร้ กำจัดขนถาวร เลเซอร์ขน บทความเลเซอร์กำจัดขน เลเซอร์รอยสิว Pico Laser Pico Majesty Pico Majesty Laser Reepot Laser Reepot บทความโปรแกรมหน้าใส NCTF 135 HA Rejuran Belotero Glassy Skin Juvederm Volite Gouri Exosome Harmonyca Profhilo Skinvive Sculptra vs ฟิลเลอร์ Sculptra บทความ Sculptra Radiesse บทความ Radiesse บทความฉีดหน้าใส UltraClear AviClear Laser AviClear Accure Laser Accure บทความโปรแกรมรักษาสิว ฟิลเลอร์คอ ฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า ฟิลเลอร์มือ ฟิลเลอร์หน้าใส ฟิลเลอร์ร่องแก้มราคา ฟิลเลอร์ยกหน้า ฟิลเลอร์หลุมสิว หลังฉีดฟิลเลอร์กี่วันหายบวม หลังฉีดฟิลเลอร์ หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ยกมุมปาก ฟิลเลอร์ปากกระจับ ฟิลเลอร์ปาก 1 CC ฟิลเลอร์จมูกราคา ฟิลเลอร์กรอบหน้า ฟิลเลอร์ที่ไหนดี ฟิลเลอร์น้องสาวกี่ CC ฟิลเลอร์ราคา ฟิลเลอร์จมูก ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ฟิลเลอร์แก้มส้ม ฟิลเลอร์แก้มตอบ ฟิลเลอร์น้องชาย ฟิลเลอร์น้องสาว ฟิลเลอร์คาง ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ฟิลเลอร์ บทความฟิลเลอร์ ฉีดโบลดริ้วรอยหางตา ฉีดโบหางตา ฉีดโบลิฟกรอบหน้า ฉีดโบหน้าผาก ฉีดโบยกมุมปาก ฉีดโบปีกจมูก ฉีดโบลดริ้วรอยระหว่างคิ้ว ฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตา ฉีดโบลดกราม ฉีดโบรักแร้ ฉีดโบลดริ้วรอย ดื้อโบลดริ้วรอย บทความโบลดริ้วรอย Volnewmer Linear Z ยกมุมปาก Morpheus Morpheus8 ลดร่องแก้ม Ultraformer III Ultraformer MPT Emface Hifu ยกกระชับหน้า Ultherapy Prime Ulthera Thermage FLX BLUE Tip Thermage FLX Oligio บทความยกกระชับใบหน้า ร้อยไหมหน้าเรียว ไหมหน้าเรียว ร้อยไหมเหนียง ไหมเหนียง ร้อยไหมยกหางตา ไหมยกหางตา Foxy Eyes ร้อยไหมปีกจมูก ไหมปีกจมูก ร้อยไหมกรอบหน้า ไหมกรอบหน้า ร้อยไหมร่องแก้ม ไหมร่องแก้ม ร้อยไหมก้างปลา ไหมก้างปลา ร้อยไหมคอลลาเจน ไหมคอลลาเจน ร้อยไหมจมูก ร้อยไหม บทความร้อยไหม Apex