
© 2017 Copyright - Haijai.com
เด็กดื้อ รักนะเด็กดื้อ
“สวัสดีคุณยายก่อนนะคะลูก” คุณแม่บอกเจ้าตัวน้อยก่อนที่จะลาคุณยายกลับบ้าน “ไม่หวัดดี! ” เจ้าตัวดี กอดอกทำหน้ามุ้ยพร้อมกับส่ายหัว “สวัสดีก่อนสิค่ะ” คุณแม่คาดคั้นอย่างใจเย็น “ไม่หวัดดี นี่แหนะ!” นอกจากจะไม่ยอมสวัสดีคุณยายแล้ว เจ้าวายร้ายตัวน้อย ยังยกมือขึ้นตีคุณแม่ที่จะเข้าไปจูงพาไปให้คุณยายอีกด้วย “ไม่เป็นไรๆ กลับไปเถอะ” คุณยายพูดอย่างเอ็นดู แต่คุณแม่กลับหัวเสียที่ลูกรักกลายเป็นเด็กดื้อไปเสียได้
อยากรู้ ต้องดื้อ
เมื่อขึ้นมาถึงบนรถ คุณแม่บอกเจ้าตัวดีที่กำลังลุกยืนบนเบาะให้คาดเข็มคัดนิรภัยและนั่งนิ่งๆ สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ “ไม่นั่ง!” หนูน้อยทำเสียงแข็ง ตะโกนใส่หน้าคุณแม่ “นั่งลงดีๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องกลับบ้าน” คุณแม่พูดอย่างใจเย็น “ห้ามพูด!” เจ้าตัวเล็กทำเสียงแข็ง พร้อมกับยกมือขึ้นจะตีคุณแม่ คุณแม่สงบสติอารมณ์เพราะเข้าใจว่าเจ้าตัวดีกำลังท้าทาย และทดสอบขอบเขตของเขา หนูน้อยกำลังเรียนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากไม่ฟังคำสั่งของคุณแม่ ซึ่งวิธีที่คุณจะรับมือได้ดีที่สุดคือใจเย็นและใช้เหตุผล
“ถ้าลูกไม่ยอมนั่ง แม่ก็ขับรถออกไปไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ปลอดภัยต่อตัวลูกเอง แม่จะออกไปรอข้างนอก หากลูกพร้อมที่จะนั่งลงดีๆ เมื่อไร แม่จะเข้ามา แล้วเราจะกลับบ้านกัน” พูดจบ คุณแม่ก็เปิดประตู ลงไปยืนรอนอกรถ เจ้าตัวดี เจ้าตัวดีดูหงุดหงิด ในช่วงแรก แต่ไม่เกิน 5 นาที หนูน้อยก็ยอมนั่งลง คุณแม่เปิดประตูเข้ามาในรถ และเอ่ยชมเจ้าตัวเล็ก “ดีมาก ทีนี้เราจะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยกันนะจ๊ะ”
เมื่อย่างเข้าสู่วัยอนุบาล หนูน้อยจะมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และมักไม่สนใจสิ่งที่คุณพูดหรือบอก ดังนั้น พยายามอย่าหงุดหงิดหากลูกปฏิเสธคุณ เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งหนูน้อยจะยอมทำตามคุณเอง หัวใจสำคัญก็คือ พยายามให้ลูกให้ความร่วมมือไปพร้อมๆ กับให้เขาได้มีพื้นที่เพื่อฝึกฝนอิสรภาพที่หนูน้อยเพิ่งค้นพบด้วย ซึ่งวิธีนี้เองที่จะทำให้เจ้าตัวเล็กได้เรียนรู้ว่า สิ่งใดควร-ไม่ควร
หลากวิธีกำราบ เพราะรัก
เมื่อคุณรู้แล้วว่าการแปลงกายเป็นเด็กดื้อของเจ้าตัวน้อย มีสาเหตุมาจาก การที่คุณหนูๆ ตื่นเต้นกับอิสรภาพใหม่ๆ ที่เขาได้ค้นพบ และต้องการเป็นตัวของตัวเองให้มากขึ้น ดังนั้น คุณก็ควรพยายามระงับอารมณ์โกรธ และโมโห เพราะยิ่งคุณแสดงอาการเหล่านี้ให้ลูกเห็นมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสที่ลูกจะต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น สิ่งที่คุณควรทำเมื่อเจ้าจอมดื้อต่อต้าน หรืออาละวาดไม่ยอมฟังคุณ คือ
• ชัดเจนและจริงจัง คุณต้องแน่ใจว่าคำขอของคุณชัดเจนและเป็นสิ่งที่เจ้าตัวเล็กทำได้ ไม่ใช่แค่ “ทำความสะอาดห้อง” เพราะนอกจากจะคลุมเครือแล้วก็ยังอยู่เหนือความสามารถที่จะเข้าใจของลูกด้วย หากคุณต้องการให้ลูกเก็บของเล่นในห้อง ก็ควรระบุให้ชัดเจน “เก็บของเล่นให้เรียบร้อย” หรือแทนที่จะพูดว่า “เตรียมตัวกินข้าวได้แล้ว” คุณก็น่าจะบอกว่า “ล้างมือและมาที่โต๊ะอาหารได้แล้ว” จะดีกว่า
• สั่งอย่างง่ายๆ เจ้าตัวเล็กวัยนี้ จะตอบสนองได้ดีกับสิ่งที่สั่งให้ทำทีละอย่าง หากคุณบอกลูกว่า “เก็บของเล่นไปวางบนโต๊ะ และหยิบเสื้อผ้าในห้องมาเปลี่ยน” ก็มีแนวโน้มว่าเจ้าตัวน้อยอาจจะไม่เข้าใจ
• เตือนก่อนสั่ง หากได้เวลาที่จะต้องเลิกเล่นแล้วไปอาบน้ำ คุณควรเตือนลูกให้รู้ตัวล่วงหน้าสักเล็กน้อย และเมื่อถึงเวลาจริงๆ คุณเรียกให้ลูกไปอาบน้ำแล้วหนูน้อยยังคงเฉย คุณก็คงต้องลงมืออุ้มลูกไปอาบน้ำด้วยตัวเอง
• กระตุ้นลูกให้ถูกวิธี คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ มักจะโมโหที่ลูกไม่ทำตาม และหากลูกถามกลับมาว่าทำไมต้องเก็บของเล่น คุณก็จะตอบกลับไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดว่า “ก็เพราะแม่สั่งน่ะสิ!” ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ดีนักที่จะกระตุ้นให้ลูกให้ความร่วมมือ คุณคงไม่ต้องการให้ลูกทำสิ่งที่ถูกต้องเพราะเขากลัวโดนทำโทษ แต่ควรเป็นเพราะลูกต้องการจะทำสิ่งนั้นเองต่างหาก ดังนั้น คุณควรให้แรงเสริมทางบวกเมื่อลูกทำสิ่งที่ถูก เช่น กล่าวชม และให้กำลังใจ วิธีนี้จะทำให้ลูกเห็นได้ชัดเจนว่าเขาจะได้รับความชื่นชม เมื่อทำสิ่งที่ถูกต้อง และจะเป็นแรงกระตุ้นให้เขาอยากทำสิ่งดีๆ ต่อไป
• “ไม่” และ “อย่า” ไม่น่าพูด หากคุณห้ามลูกไม่ให้ทำบางสิ่ง แต่เจ้าตัวเล็กยังดื้อดึง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหนูน้อย ได้ยินคำว่า “ไม่” และ “อย่า” บ่อยเกินไป แทนที่คุณจะบอกว่า “อย่ากระโดดบนโซฟา” ลองเปลี่ยนเป็น “ลงมากระโดดที่พื้น” หรือแทนที่จะบอกว่า “ไม่ได้ ลูกดื่มน้ำหวานไม่ได้” เปลี่ยนเป็น “ดื่มนมดีกว่าไหม หรือว่าจะดื่มน้ำผลไม้” หรือ “หลังกินข้าวแล้ว ค่อยดื่มน้ำหวาน” เมื่อคุณให้ลูกมีทางเลือก ก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้หนูน้อยได้รักษาสิทธิ์ของตัวเองในทางที่ถูกต้อง
• เอาใจเราไปใส่ใจลูก สมมติว่าคุณกำลังอ่านหนังสือเล่มโปรด แล้วจู่ๆ ก็มีคนมาสั่งให้คุณไปทำสิ่งอื่นในทันที แน่นอนว่าคุณคงไม่พอใจนัก เช่นเดียวกับเจ้าตัวเล็ก หากคุณเข้าใจในจุดนี้ คุณก็จะใจเย็นกับลูกมากขึ้น และให้สัญญาณเตือนลูกทุกครั้งก่อนที่เขาต้องละมือจากสิ่งที่ทำไปทำอย่างอื่น แม้ว่าเจ้าตัวเล็กส่วนใหญ่จะยังงอแงไม่ยอมทำตามหลังจากที่คุณเตือนแล้วก็ตาม อย่างน้อยเขาก็ได้รับการส่งสัญญาณเตือนให้รู้ก่อนอย่างยุติธรรม ก่อนที่จะต้องทำอย่างอื่นต่อไป
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าคุณกับลูกจะต้องทำสงครามสู้รบกันขนาดไหน เจ้าตัวเล็กจะอาละวาด กวาดแข้งกวาดขามากเพียงใด คุณต้องไม่ลืมที่จะทำให้เจ้าตัวเล็กรู้และเข้าใจว่า สิ่งที่คุณทำไปทุกอย่างก็เพราะความรักและหวังดี ขอให้คุณเชื่อมั่นว่าความรักที่คุณให้ลูกนั้น จะทำให้หนูน้อยได้รับบทเรียน และกลายเป็นเด็กดีได้ในที่สุด แม้ว่าวันนี้เขาจะยังเป็นเด็กดื้อตัวน้อยอยู่ก็ตาม รักนะ เด็กดื้อ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)